▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 17: จูบแรกที่เกินห้ามใจ สนไม่ได้พาต้นกลับบ้านทันที แต่พาต้นไปปั่นจักรยานเล่นที่อ่างแก้วแล้วก็นั่งคุยสัพเพเหระพอให้ต้นสบายใจมากขึ้น จากนั้นก็กินข้าวเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารแถวๆ นั้น สนมีรายได้จากการทำขนมส่งขายจึงพอมีเงินกินอาหารในร้านแบบนี้ได้บ้าง ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะแพงเกินไป เมื่อเห็นว่าต้นอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วจึงค่อยพาต้นกลับบ้าน
พอกลับมาถึงบ้าน สนเห็นไฟในบ้านเปิดอยู่ แสดงว่านิกกับปั้นจั่นคงกลับมาแล้ว สนสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนกำลังตัดสินใจจะทำบางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญมาก สนจับมือต้นแล้วก็เดินจูงมือต้นเข้าไปในบ้าน แม้ต้นจะรู้สึกว่าแปลกไปแต่ก็ไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด
นิกกับจั่นนั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะกลางห้องโถงพอดี พอเห็นสนกับต้นเดินเข้ามาในบ้านในลักษณะจูงมือกัน สองคนนั้นก็หันมามองอย่างแปลกใจ
"ไปไหนกันมาวะ กินข้าวกันหรือยัง" ปั้นจั่นได้สติก่อนก็เลยถาม
สนพยักหน้า "กินแล้ว กูพาต้นไปปั่นจักรยานที่อ่างแก้วแล้วก็กินข้าวแถวๆ นั้นแหละ เดี๋ยวกูพาต้นขึ้นไปข้างบนก่อนนะเว้ย จะคุยอะไรกันหน่อย"
นิกกับปั้นจั่นพยักหน้า
"อือๆ ตามสบายละกัน อย่าทะเลาะกันนะเว้ย" นิกบอก
"เออ...จะทะเลาะกันทำไมวะ" ดูเหมือนจะเป็นสนที่พูดอยู่คนเดียว ส่วนคนที่เดินตามมาข้างๆ ได้แต่เงียบๆ แม้ว่าสีหน้าจะดูดีขึ้นกว่าตอนเช้าแต่ก็แฝงด้วยความเครียดที่พอสังเกตเห็นได้
"อาบน้ำเสร็จแล้วไปห้องเรานะต้น" สนหันมาบอกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
ต้นพยักหน้าเข้าใจ เปลี่ยนบรรยากาศไปห้องสนบ้างก็ดีเหมือนกัน ถ้าต้นอยู่ในห้องคนเดียวก็จะคิดมากเข้าไปอีก
"เฮ้ยนิก มึงเห็นเหมือนที่กูเห็นไหมวะ" ปั้นจั่นพูดคล้ายกระซิบกระซาบเมื่อสนกับต้นหายเข้าไปในห้องของแต่ละคนแล้ว
"อ้าวไอ้นี่ กูก็นั่งอยู่ตรงนี้กับมึงก็ต้องเห็นเหมือนกันสิวะ ถามแปลกๆ"
สองหนุ่มมองหน้ากันอย่างสงสัย
"หรือว่า...ต้นกับสนตกลงเป็นแฟนกันแล้ว"
"มันจะกล้าขนาดนั้นเลยเหรอวะไอ้จั่น เมื่อกลางวันกูคุยกับไอ้สนอยู่ เท่าที่กูฟังดู มันยังไม่คิดถึงขนาดนั้นหรอก"
ปั้นจั่นทำสีหน้าครุ่นคิด "ไอ้สนมันเล่นอะไรของมันวะ กูกลัวแทนไอ้ต้นจริงๆ ตัวมันเองก็สับสนอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จะเอายังไงของมัน ทำแบบนี้ก็ยิ่งให้ความหวังไอ้ต้นมันมากขึ้น แล้วมันก็ดึงนินาเข้ามาอีกคน กูล่ะงงกับมันจริงๆ"
"กูว่ามันเล่นกับไฟว่ะจั่น ไอ้สนมันอยากลองใจตัวเองว่าสุดท้ายมันจะรักใครกันแน่ อันนี้แหละ น่ากลัวของจริง"
"ยังไงวะ มึงคุยอะไรกับไอ้สนวะนิก เล่าให้กูฟังหน่อยดิ กูอยากรู้ว่ะ"
นิกพยักหน้า แล้วก็เล่าเรื่องที่เขาคุยกับสนเมื่อตอนกลางวันให้ปั้นจั่นฟัง
"ต้น...นายรู้ไหมว่าเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว" สนถามในขณะกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ต้นก็นั่งในลักษณะเดียวกันอยู่ข้างๆ
"สิบปี"
"นายคิดว่านานไหม"
"นานสิ"
"แล้ว...มีสักวันบ้างไหมที่เราเคยห่างกัน"
"อืม...น้อยมาก เราแทบไม่เคยห่างกันเลย" ต้นตอบสีหน้าเรียบเฉย ไม่หันมาสบตากับสน
"แล้วมีวันไหนไหมที่นายตื่นมาแล้วไม่นึกถึงเราบ้างไหม"
"ไม่มี...ไม่มีเลยสักวันเดียว"
"แล้วเราล่ะ นายคิดว่า...มีวันไหนบ้างไหมที่เราตื่นมาแล้วไม่นึกถึงนาย..."
คำถามนี้ทำให้ต้นหันมามองสนด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย ถ้าเป็นต้น ต้นรู้ว่าเขานึกถึงสนทุกวัน แล้วสนล่ะ สนจะนึกถึงต้นทุกวันหรือเปล่า
"นายไม่รู้เหรอต้น เราก็เหมือนนายนั่นแหละ ไม่มีวันไหนหรอกที่เราตื่นมาแล้วจะไม่นึกถึงนาย"
แล้วสนก็ถอนหายใจยาว พร้อมกับเหลือบไปมองคนข้างๆ ที่ยังคงดูเหม่อลอยอยู่
"แล้วทำไม...เวลานายมีเรื่องทุกข์ใจนายไม่ยอมบอกเราล่ะต้น นายไม่รู้เหรอว่าเราเป็นห่วงนายแค่ไหน เราจะมีความสุขได้ยังไงเวลาที่นายมีความทุกข์ เวลานายเจ็บ...เราก็อยากขอแบ่งมันมาไว้ที่เราบ้าง เผื่อนายจะเจ็บน้อยลง เวลาที่นายยิ้ม เราก็อยากจะแบ่งรอยยิ้มของเราให้นายไปบ้าง เผื่อจะทำให้นายมีความสุขมากขึ้นไปอีก ไม่ว่านายจะมีเรื่องดีหรือไม่ดี นายก็ควรจะบอกเรานะต้น อย่างน้อยๆ ถ้าอะไรๆ มันเป็นไปไม่ได้ ก็ถือว่าซะว่าเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน เพื่อนคนนี้...อยู่ข้างๆ นายมาเกือบตลอดชีวิต เขาเป็นห่วงนายมากพอๆ กับที่นายก็เป็นห่วงเขานั่นแหละ"
สนเว้นจังหวะดูปฏิกิริยาคนที่นั่งข้างๆ ดูเหมือนต้นคงจะคิดตามแล้วล่ะ สนจึงพูดสืบไป
"เราขอโทษที่เมื่อวานเราไม่ได้รับโทรศัพท์นาย เราเปิดระบบสั่นไว้ก็เลยไม่ได้ยิน แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ห่วงนายนะต้น แค่เรารู้ว่านายต้องการเรา นายจะอยู่ไกลแค่ไหนเราก็จะไปหานายให้ได้ รู้ไว้นะต้น นายคือคนที่สำคัญที่สุด มีอะไร ต่อไป...ขอให้นายบอกเรานะต้น อย่าเก็บไว้ทุกข์ใจคนเดียวแบบนี้อีก"
ต้นหันกลับมามองหน้าสนอย่างช้าๆ แล้วก็พยักหน้า รู้สึกซาบซึ้งใจในความห่วงใยของอีกฝ่าย ต้นก็มัวแต่คิดว่าการที่ต้นเป็นแบบนี้ทำให้สนลำบากใจ แต่ลืมคิดไปว่าความผูกพันของต้นกับสนเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน ความผูกพันใกล้ชิดย่อมทำให้ทั้งสองคนห่วงใยในความเป็นไปของกันและกันไม่มากก็น้อย
"ต้น...บอกเราได้ไหม...ว่าเพื่อนนาย...มันแกล้งนายยังไงบ้าง นิกเพิ่งบอกเราว่าพวกเพื่อนๆ นายรู้เรื่องนายกับพี่ทินแล้ว อย่าโกรธนิกนะต้นที่เอาเรื่องนี้มาบอกเรา นิกเป็นห่วงนายมากนะ ที่สำคัญ นิกเขารู้ว่า...เราต้องเป็นคนหนึ่งที่ควรรู้เรื่องนี้ ตามความเป็นจริงแล้ว เราก็ควรจะรู้เรื่องนี้ก่อนคนอื่นด้วยซ้ำ แต่ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว เราเข้าใจที่นายไม่ยอมบอกเรา แต่ตอนนี้...นายบอกเราได้ไหมต้น พวกมันทำอะไรนาย ถ้านายพอจะเล่าได้เราก็อยากฟัง นายต้องแบ่งความทุกข์มาให้เราบ้าง อย่าเก็บไว้คนเดียว เราสัญญา เราจะไม่ไปทำอะไรเพื่อนของนายหรอก"
ต้นอึกอักอยู่นานพอสมควรก่อนจะตัดสินใจเล่า
"ก็...อย่างเช่น...เวลาสั่งข้าวมากิน พวกมันก็ชอบถามว่า...เราจะเอาข้าวเหนียวถั่วดำด้วยไหม เวลาเดินกับพวกมัน พวกมันก็จะชอบแซวว่า...เสียวข้างหลังเวลาที่เราเดินอยู่ข้างหลัง พวกที่มันทะลึ่งๆ หน่อยก็จะชอบแอบจับก้น จับหน้าอก แล้วก็แซวว่า...แค่นี้ทำเป็นตกใจ ไม่ได้คิดจะทำอะไรซะหน่อย เราไม่ชอบเลยสน เรารู้สึกเหมือนเราเป็นตัวตลกยังไงไม่รู้ เราไม่อยากให้เพื่อนทำกับเราแบบนี้เลย"
"จริงเหรอต้น" สนครางด้วยความเห็นใจและสงสาร
"เป็นเพราะเราเป็นเกย์ใช่ไหมสน มันถึงได้มีแต่ปัญหาแบบนี้ เราทำให้แม่เสียใจ แม่ไม่เคยร้องไห้เพราะเราเลย แต่เราก็ทำให้แม่ร้องไห้ แล้วถ้าพ่อรู้เข้าอีกคนล่ะสน เราก็ไม่รู้ว่าจะทำให้พ่อเสียใจอีกแค่ไหน เพื่อนๆ ก็เห็นเราเป็นตัวตลก แม้กระทั่งนาย...การเป็นเกย์ของเราก็ทำให้เพื่อนอย่างนายต้องลำบากใจที่จะเป็นเพื่อนกับเรา"
สนจับไหล่ของต้นไว้สองข้าง แม้จะสงสารแต่สนก็ต้องจริงจัง
"นายอย่าพูดแบบนี้นะต้น นายต้องรักตัวเองนะ อย่าคิดกับตัวเองแบบนี้ เราไม่เคยลำบากใจอะไรเลยนะที่เรามีนายเป็นเพื่อน หรือนายอยากจะเป็นอย่างอื่นที่มากกว่าเพื่อนเราก็ไม่เคยมีปัญหา"
ต้นเงียบและคิดตามไปด้วย แม้จะรู้ว่าสนพูดถูก แต่ต้นก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองคือตัวปัญหาอยู่ดี หลายๆ สิ่งที่ต้นเจอเริ่มส่งผลกระทบต่อความเคารพตัวเองของต้นแล้ว ใครสักคนจะต้องช่วยต้นแล้วล่ะก่อนที่ต้นจะดูถูกตัวเองไปมากกว่านี้จนยากเกินเยียวยา
"แต่ถ้าเราไม่เป็นแบบนี้ อะไรๆ ก็คงจะดีกว่านี้ใช่ไหมสน พ่อกับแม่เราจะได้ไม่ต้องเสียใจที่มีลูกแบบเรา ใครๆ ก็จะได้ไม่ต้องลำบากใจที่จะคบกับเรา ไม่ต้องระแวงว่าเราจะไปทำอะไรเขา" ต้นเริ่มเสียงดังราวกับคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
"ต้น...นายหยุดพูดแบบนี้ได้แล้ว" สนเริ่มเสียงดังบ้าง เขาจับไหล่ต้นแน่นจนอีกฝ่ายรู้สึกได้ว่าเจ็บ
"ก็มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เหรอสน มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เหรอ ปัญหาทั้งหมดก็เพราะว่าเราเป็น อุ๊บ"
ต้นพูดอะไรไม่ได้อีกแล้วเพราะตอนนี้ริมฝีปากของสนประทับอยู่บนริมฝีปากของต้นอย่างแน่นหนา สนโอบกอดรอบคอต้นไว้ นี่คือจูบแรกที่สนเก็บไว้ให้คนที่เขารักและเขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครที่ไหน แน่นอน...มันก็เป็นจูบแรกของต้นด้วยเช่นกัน เมื่อความรักกับความต้องการเดินทางมาเจอกัน แรงปรารถนาที่เกิดขึ้นก็ยากเกินที่จะห้ามใจ
สนกำลังจะก้าวข้ามเส้นขีดกั้นระหว่างเพื่อนและคนรักไปแล้ว ความคิดในสมองของสนกำลังทำงานอย่างหนักว่าเขาควรจะหยุดหรือกระโดดข้ามไปเลย รสชาติและสัมผัสที่อ่อนหวานนุ่มนวลนั้นช่างเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน ในเมื่อสนก็รักต้นและต้นก็รักสน คงไม่ผิดอะไรที่ความสัมพันธ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น
ต้นรู้สึกราวกับจะขาดอากาศหายใจจนต้องกอดสนไว้แน่น นั่นยิ่งทำให้สนรู้สึกพอใจมากขึ้น สนค่อยๆ ดันต้นให้นอนลงไปบนเตียงนั้นอย่างนุ่มนวล เขาถอนริมฝีปากออกมาแล้ว สีหน้าที่ตื่นตระหนกและมีคำถามมากมายของต้นทำให้สนค่อยๆ ปล่อยต้นให้เป็นอิสระ
สนลุกขึ้นนั่งอยู่ในท่าเดิม จะมองหน้าต้นก็ไม่กล้ามองเพราะเขาไม่เคยทำกับต้นแบบนี้เลย ตอนทำไม่รู้สึกเขินหรอก แต่พอผ่านพ้นไปแล้วสนก็เลยได้สติและรู้สึกเขินขึ้นมา
ต้นค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งเช่นเดียวกัน เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้สีหน้าของตัวเองเป็นแบบไหน ไม่รู้ว่าเขิน กลัว ตกใจหรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ต้นรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง หน้าแดงจนสังเกตเห็นได้
บรรยากาศเข้าสู่ความเงียบไปนานพอสมควร สนคงปล่อยให้มันเงียบอย่างนี้ไม่ได้แล้วล่ะ คงต้องพูดอะไรสักอย่างบ้าง
"อย่าเพิ่งถามอะไรเรานะต้น อย่าเพิ่งถามว่าเราคิดอะไรกับนาย นายอยู่กับเรามาเป็นสิบปีแล้ว เรารู้ว่านายรู้ทุกอย่าง ถึงเราไม่พูดนายก็คงรู้ ใช้หัวใจของเราสัมผัสมันไปก่อนนะต้น ถ้าถึงวันที่ทุกอย่างชัดเจนแล้ว เราจะจับมือนาย...ฝ่าฟันทุกสิ่งทุกอย่างไปเอง วันที่เราตัดสินใจจับมือนายแล้ว เราจะปล่อยอีกไม่ได้ แต่ตอนนี้ ขอให้นายรู้ไว้อย่างเดียว...ว่านาย...คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา"
สนตัดสินใจโอบศีรษะของต้นให้มาซบบนไหล่ของเขา พร้อมกับใช้มืออีกข้างลูบผมต้นเล่นเบาๆ อย่างที่เขามักทำบ่อยๆ
"เราขอนะต้น ต่อไป...นายอย่าดูถูกตัวเองแบบนี้อีก นายเป็นลูกที่พ่อกับแม่ภูมิใจมาตลอดนะต้น นายไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พ่อกับแม่แค่ยังไม่เข้าใจนายเหมือนที่เราเข้าใจเท่านั้นเอง ส่วนเพื่อนๆ พวกนั้น นายไม่ต้องไปสนใจหรอก มันก็แค่ไม่กี่คน เพื่อนๆ ที่รักนายก็มีเยอะแยะ ส่วนเรา...นายยิ่งไม่ต้องห่วงใหญ่เลย เราเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่นายเป็นทุกอย่าง เราก็แค่ตกใจในตอนแรกเท่านั้นแหละ แต่วันนี้นายก็คงเห็นว่าเรา...รู้สึกยังไงกับนาย"
ถ้าจะถามต้นว่ารู้ไหมว่าสิ่งที่สนกำลังทำอยู่ตอนนี้คืออะไร ต้นก็คงพอเดาได้ ต้นเองก็สงสัยเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้ว
"ว่าไงต้น สัญญากับเราได้ไหม ต่อไป...นายจะไม่ดูถูกตัวเองแบบนี้อีก" สนยังไม่ลืมที่จะเตือนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป
ต้นพยักหน้าเบาๆ สนจึงยิ้มอย่างพอใจ
"ถ้าเหนื่อย...ก็นอนได้นะ นอนตักเราก็ได้"
เชิญชวนกันถึงขนาดนี้ ต้นก็ไม่ปฏิเสธล่ะนะ ต้นนอนลงไปบนตักของสน ถึงตอนนี้จะไม่ได้พูดอะไรว่าแต่ละคนรู้สึกยังไง การกระทำตอนนี้ก็ฟ้องสิ่งที่คิดได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว บางทีมันก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าคบกันแบบไหน ไม่จำเป็นต้องหาคำอธิบาย ไม่ต้องหาคำมาจำกัดความ แค่ทำในสิ่งที่หัวใจอยากทำก็พอแล้ว
แค่นี้ต้นก็มีความสุขแล้วล่ะ แม้ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แม้ไม่รู้ว่าความสุขที่เกิดขึ้นตอนนี้จะต้องแลกกับอะไรอีกบ้างในอนาคต
แล้วต้นก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคนจนถึงเช้า
"ขึ้นมาสิ"
ดูเหมือนคนที่ถูกชวนมีสีหน้าลังเลและไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
"พี่ไม่พาเราไปทำอะไรหรอกน่า ไม่ต้องกลัวหรอก เร็วสิ ขึ้นมา"
เสียงเร่งเร้านั้นทำให้คนถูกชวนเกิดความกดดันจนต้องตัดสินใจเปิดประตูรถเข้าไปนั่งกับคนที่เอ่ยปากชวนด้วย
"พี่ไม่ใช่คนขับให้เรานะ มานั่งหน้า"
คนถูกชวนทำสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ต้องเปิดประตูรถออกไปใหม่ แล้วไปนั่งด้านหน้าข้างคนชวนแทน
"ผมมีเวลาไม่เยอะนะครับ เร็วหน่อยละกัน" คนถูกชวนรีบบอก
"เออน่า ไม่นานหรอก พี่ก็มีธุระต้องไปต่อเหมือนกัน"
พูดจบแล้วรถ BMW สีขาวคันงามก็แล่นฉิวออกไปจากมหาวิทยาลัย จนมาถึงร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนึ่งในห้างแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
"จะสั่งอะไรก็สั่งเลยนะ จะได้รีบกินรีบคุย" ทินพูดคล้ายออกคำสั่ง เห็นสนทำหน้าไม่สบอารมณ์ก็อดจะแอบขำเบาๆ ไม่ได้ จริงๆ สนก็เป็นคนน่ารักนะ หน้าตาคมคายแต่ก็มีแววตาที่อ่อนโยน เป็นเอกลักษณ์ที่ผู้ชายทั่วไปมักไม่ค่อยมีมากนัก มิน่าล่ะต้นถึงได้หลงรักขนาดนี้
สนจึงรีบๆ สั่งอาหารที่กินง่ายๆ จานเดียวมา แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้น
"เป็นไง คุยกับต้นหรือยัง ตกลงกันได้แล้วใช่ไหม"
"ยังครับ" สนตอบสั้นๆ ดูท่าทางยังคงไม่ค่อยไว้ใจทินเท่าไหร่นัก
"ทำไมล่ะสน จะปล่อยให้ค้างคาแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ไม่สงสารต้นบ้างเหรอ ถามจริงๆ สนติดอะไร พี่รู้นะว่าสนน่ะรักต้น แล้วก็ดูท่าจะรักมากด้วย ทำไมไม่บอกต้นไปเลยล่ะสน รีรออยู่ทำไม"
"คือ...ผม..."
"บอกพี่ได้ไหม สนติดอะไรกันแน่ ไม่สงสารต้นเหรอ เขารอสนมาตั้งนานแล้วนะ พี่น่ะเคยคิดจะจีบต้นเป็นแฟน แต่พี่ดูแล้ว เขามีรักที่มั่นคงกับสนมาก พี่รู้ว่าพี่คงจะดึงต้นออกมาจากสนได้ยาก พี่ก็เลยต้องยอมปล่อย แต่ถ้าสนยังไม่คิดจะตัดสินใจให้แน่ชัด ก็ควรจะให้โอกาสต้นได้มีทางเลือกอื่นบ้าง ความผูกพันของสนผูกมัดต้นไว้ทุกทางรู้ไหม ต้นไปไหนไม่ได้เลย ถ้าสนอยากให้ต้นมีความสุขจริงๆ สนก็ต้องเลือกสักอย่างว่าจะเอายังไง จะรักต้นไปเลย หรือจะอยู่ห่างๆ จากต้น ให้ต้นเขาตัดใจ จะเอาแบบไหนล่ะ"
ทินพูดเสียยืดยาว ยิ่งทำให้อีกฝ่ายสับสนมากยิ่งขึ้น
"หรือจะไม่ตัดสินใจ จะปล่อยให้คาราคาซังอยู่แบบนี้เหรอสน"
"ผมไม่รู้ครับ ผมสับสน..."
"สับสนอีกละ เมื่อไหร่เราจะเลิกสับสนซะที ไหน...พอจะเล่าให้พี่ฟังได้ไหมว่าสนสับสนอะไร กลัวพ่อแม่ต้นจะรู้เหรอ หรือว่าอะไร"
สนไม่รู้ว่าเขาควรจะเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งคุยกับนิกให้ทินฟังดีไหม สนไม่ชอบทินนักและคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเล่าให้ฟัง ที่เขายอมมาคุยด้วยวันนี้สนก็ถือว่ามากพอแล้ว
อาหารมาเสิรฟ์แล้ว แต่สนกับทินก็ยังคงไม่ได้แตะแม้แต่คำเดียว
"เอางี้...บอกพี่มาก่อน รักต้นใช่ไหม"
แม้ว่าสนจะยังไม่วางใจคนตรงหน้า แต่เขาก็พยักหน้ารับแต่โดยดี
ทินถอนหายใจยาว มองดูคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก
"แล้วที่ไม่ยอมบอกรักต้น ไม่ยอมรับต้นเป็นแฟน เป็นเพราะว่าสนกลัวคนอื่นจะมองจะคิดยังไงหรือเปล่า"
"ก็กลัวนิดหน่อย แต่ไม่ใช่เหตุผลหลักหรอกครับ" พอมาถึงตรงนี้ สนก็คิดว่าเขาควรจะต้องเล่าให้ทินฟังแล้วล่ะ ไม่งั้นอีกฝ่ายก็คงซักไซ้เขาไม่เลิกเป็นแน่
พอทินได้ฟังเหตุผลสองข้อจากสนแล้วก็ช่วยให้เขาเข้าใจคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น ความจริง สนรักต้นมากกว่าที่ทินคิดไว้เสียอีก ไม่งั้นก็คงไม่คิดลึกซึ้งซับซ้อนขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ เขาก็อยากให้สนชัดเจนกับต้นอยู่ดี ความไม่ชัดเจนนี่แหละที่ทำร้ายคนมานักต่อนัก
"เอาล่ะ พี่ก็เข้าใจเรานะ แล้วพี่ก็ชื่นชมที่สนคิดลึกซึ้งรอบคอบขนาดนี้ ก็ใช่...ความรักของเกย์ไม่ใช่เรื่องง่าย สนเองก็อาจจะพามันไปต่อไม่ไหว แล้วคนที่จะต้องเสียใจก็คือทั้งต้นและสนนั่นแหละ แต่ยังไงก็ตาม สนจะปล่อยให้ทุกอย่างคลุมเครือแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ถ้าสนอยากพิสูจน์ใจตัวเอง สนก็ต้องวัดใจตัวเองไปเลยว่า...ไม่ว่าสนจะเจอใคร คำตอบสุดท้ายยังเป็นต้นอยู่ไหม แต่...สนก็ต้องให้โอกาสต้นได้พิสูจน์ใจของตัวเองด้วยว่า...ไม่ว่าต้นจะเจอใคร คำตอบสุดท้ายของต้นยังเป็นสนอยู่ไหม ถ้าคำตอบของต้นและสนยังเหมือนเดิม วันนั้นก็อาจจะยังไม่สายที่จะกลับมารักกันเหมือนเดิม บางที มันอาจจะทำให้ต้นกับสนเข้าใจกันมากขึ้นก็ได้"
"ยังไงเหรอครับ" สนฟังทินพูดเยอะก็ชักเริ่มสับสน ปกติตอนนี้เขาก็สับสนมากอยู่แล้ว
"เอาง่ายๆ เลยนะ สนก็ลองมีแฟนเป็นผู้หญิงดูอีกสิ ส่วนต้น ก็ให้ต้นเป็นแฟนกับคนอื่นที่ไม่ใช่สน"
"แปลว่าพี่จะจีบต้นเหรอครับ" สนถามเสียงห้วน หวังว่าที่พูดมาทั้งหมดคงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกนะ
"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีก็อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพี่หรอก"
"ที่พี่ทินพูดมาทั้งหมด เป็นเพราะพี่อยากจะเป็นแฟนกับต้นหรือเปล่าครับ"
ทินเงียบไปสักพัก บางทีสนก็ดูเข้าใจอะไรยากเหมือนกัน
"สน...พี่ไม่ได้พูดกับสนเรื่องนี้เพื่อตัวพี่เองหรอกนะ ต่อให้ต้นเขาไม่ได้รักพี่ แต่พี่ก็รักเขาเหมือนน้องคนหนึ่ง พี่เห็นน้องของพี่เป็นทุกข์พี่ก็อยากช่วย นิกกับจั่นก็อยากช่วย แต่เขาไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้ พี่ก็เลยต้องเข้ามา มันอาจจะดูวุ่นวายนะ แต่ก็ขอให้สนรู้ไว้ พี่ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น พี่แค่อยากช่วยต้น ปล่อยต้นนะสน ปล่อยให้ต้นได้เปิดโอกาสรักใครคนอื่นบ้าง ถ้าสนคิดว่าอยากพิสูจน์หัวใจตัวเอง สนก็ต้องให้ต้นพิสูจน์ใจของต้นไปด้วย ต่างคนต่างพิสูจน์ แฟร์ๆ กันทั้งสองฝ่าย ก็สนเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าอยากทำอย่างนั้น"
ก็จริงอย่างที่ทินว่า สิ่งที่สนกลัวมากที่สุดคือ "ธรรมชาติความเป็นผู้ชาย" ของตัวเองนั่นแหละ มันเป็นแรงขับธรรมชาติที่มีพลังสูงมาก สนไม่รู้ว่าความรักจะเอาชนะมันได้ไหม เขาจึงอยากหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่า "ความรัก" เอาชนะได้ "ทุกอย่าง" จริงหรือเปล่า แต่อย่าลืม เด็กอายุ 20 คนหนึ่งจะรู้ได้ยังไงว่า "ความรักเอาชนะได้ทุกอย่าง" เขาต้องออกไปหาคำตอบด้วยตัวเอง อ่านจากหนังสือหรือให้ใครมาบอก มันก็ทำให้สนเข้าใจไม่ได้หรอก ยังไงสนก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองอยู่ดี ถ้าสนได้คำตอบที่ทำให้เขามั่นใจได้ วันนั้นแหละเขาถึงจะบอกรักและจับมือต้นฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไป ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือสังคม เมื่อตัดสินใจแล้วสนจะไม่มีวันคืนคำ ต้นจะไม่มีวันเสียใจกับคำว่า "รัก" ที่สนบอกไปอีกเลย
"ตกลงตามนี้นะ" ทินย้ำ
สนคิดอยู่สักพัก เหมือนจะคิดหนักทีเดียว วันนี้ สนรักต้นมาก ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้วว่าสนรักต้นหรือเปล่า แต่สนก็กลัวว่าถ้าสนเดินหน้าพิสูจน์หัวใจตัวเอง เขากลัวคำตอบในใจจะเปลี่ยนไป ถ้าเกิดคำตอบนั้นไม่ใช่ต้นเหมือนเดิมล่ะ สนก็ไม่อยากได้คำตอบนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าคำตอบมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าเขาไม่เจอคำตอบนั้นตอนนี้ วันหน้าเขาก็คงต้องเจอ ถ้างั้น ก็สู้พิสูจน์ให้เห็นตอนนี้ไปเลยละกัน
"ตกลงครับ"
ทินพยักหน้าพลางยิ้มอย่างพอใจ
"กินข้าวเถอะ เย็นหมดแล้ว เดี๋ยวกินเสร็จพี่จะไปส่งที่บ้าน"
TBC