แถลงการณ์ของสภาทนายความ
ฉบับที่ 2/2557
เรื่อง จะใช้มาตรา 3 และมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ณ เวลาใดและโดยใคร
................................
ตามที่สภาทนายความได้เคยออกแถลงการณ์เรื่อง "การตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ(ชุดใหญ่) การใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 กับการถูกข้อหากระทำการหรือสนับสนุนการปฏิวัติ" ไปเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2556 นั้น
โดยที่ขณะนี้มีความเห็นต่างที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการใช้บทบัญญัติของมาตรา 3 และมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ สภาทนายความจึงเห็นสมควรที่จะชี้แจงเพิ่มเติมถึงขั้นตอน เวลา และบุคคลหรือคณะบุคคลที่จะใช้มาตรา 3 และมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1. การใช้บทบัญญัติตามมาตรา 3 และมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ เรื่องอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทย นั้น ตามหลักการของรัฐธรรมนูญ ปวงชนชาวไทยได้ทูลเกล้าถวายให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงใช้อำนาจตุลาการผ่านศาล อำนาจบริหารผ่านรัฐบาล และอำนาจนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา ต่อมารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และฉบับปัจจุบันได้เพิ่มการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐทั้ง 3 ทาง โดยผ่านทางองค์กรอิสระ และการตรวจสอบอำนาจของรัฐโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ความเข้มข้นในการเพิ่มเรื่องบทบัญญัติของการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญแสดงให้เห็นว่าผู้ที่อาสาเข้ามาใช้อำนาจของรัฐ ดำเนินการไม่โปร่งใส บกพร่องหรือทุจริต จึงจำต้องนำบทบัญญัติในเรื่องการตรวจสอบมาเขียนเพิ่มไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะได้เพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยหลักจริยธรรมของนักการเมืองขึ้นใหม่ด้วย แต่ถึงกระนั้นผู้อาสามาทำงานในฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติก็ไม่นำพาที่จะใช้อำนาจนั้นอย่างมีคุณภาพ โปร่งใส สุจริต และเป็นธรรม จึงทำให้ประเทศไทยตกชั้นกลายเป็นประเทศที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ 102 จาก 170 กว่าประเทศในปี 2556
2. การตรวจสอบของภาคประชาชนต่อกรณีการกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่ซื่อสัตย์ ไม่โปร่งใสสุจริตและเป็นธรรมเป็นเรื่องปกติของประชาคมโลกในทุกสังคม ในอดีตการตรวจสอบก็เป็นเช่นนี้ ข้ออ้างของคณะทหารที่ทำการปฏิวัติและเกือบทุกครั้งก็เป็นเรื่องทุจริตของผู้บริหารประเทศ แม้ครั้งสุดท้ายที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทหารก็ออกมาปฏิวัติยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และขอใช้อำนาจอธิปไตยชั่วคราวเพื่อปรับปรุงรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญปี 2550 ในครั้งนั้นประชาชนก็ออกมาให้การสนับสนุนมอบดอกไม้ให้กับทหาร ยอมรับให้คณะทหารที่ทำการปฏิวัติใช้อำนาจอธิปไตยชั่วคราวเพื่อขจัดการทุจริต แต่มาจนถึงวันนี้ผลของการปฏิวัติของทหารครั้งที่ผ่านมาไม่ประสบผลสำเร็จเพราะไม่อาจขจัดการทุจริตคดโกงให้หมดหรือลดลงไปได้ ทำให้วงจรของการทุจริตกลับมาทำร้ายประเทศไทยอีกอย่างรุนแรง
3. สำหรับรัฐบาลนั้น สภาพในขณะนี้ไม่มีอำนาจในการบริหารกิจการบ้านเมืองได้ เพราะรัฐธรรมนูญที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ได้กำหนดไว้เป็นสำคัญตามบทบัญญัติมาตรา 181 (3) คือ ห้ามรัฐบาลไม่ให้กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ ที่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป กับในอนุมาตรา (2) ห้ามไม่ให้กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าสถานะของรัฐบาลในปัจจุบันก็ไม่อาจดำเนินการอะไรได้มาก หากจะปล่อยให้ยืดเยื้อเสียเวลาต่อไปก็คงไม่เป็นผลดีแก่ประเทศ
4. ดังนั้นหากประชาชนอาสาปฏิรูปเองขออำนาจอธิปไตยมาจัดการชั่วคราวด้วยเป้าประสงค์ที่จะถอนรากถอนโคนของระบบการบริหารและนิติบัญญัติที่ใช้อำนาจเสียงส่วนใหญ่โดยไม่สุจริตตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะมีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญให้ทุกฝ่ายยอมรับ แต่ฝ่ายผู้เข้ามาใช้อำนาจบริหารและนิติบัญญัติในขณะนี้กลับต่อต้านอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง ดังนั้นเมื่อประชาชนจะดำเนินการปฏิรูปขออำนาจอธิปไตยมาจัดการชั่วคราวเช่นในอดีตบ้าง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่แตกต่างอะไร ปัญหาคงมีแต่ว่าข้าราชการทหารและข้าราชการอื่นจะออกมาให้ดอกไม้แก่ประชาชนหลายล้านคนเหมือนที่ประชาชนเคยยื่นให้ทหารในปี 2549 เพื่อที่จะสร้างประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์โลกในครั้งนี้หรือไม่ หรือจะปล่อยให้เกิดความวุ่นวายแล้วฝ่ายทหารจึงจะออกมาแก้ไขสถานการณ์ดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา
5. ประชาชนคนไทยเจ้าของอำนาจอธิปไตยจึงต้องใช้สิทธิตรวจสอบและติดตามการดำเนินการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขว่าการเริ่มต้นจากการรวมตัวประท้วงรัฐบาลในการเสนอออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้กับญาติและพวกพ้อง และการไม่เคารพศาลรัฐธรรมนูญ จนกลายเป็นการขับไล่รัฐบาลโดยสงบเปิดเผยและไม่มีอาวุธ จะก้าวหน้าไปในทางใด ทั้งนี้หากนักการเมืองเคารพรัฐธรรมนูญ สร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้เป็นแบบอย่างที่ดี ความจำเป็นที่จะต้องขับไล่โดยการปฏิวัติก็ไม่จำต้องมี การแก้ไขกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญก็สามารถจะกระทำได้บนหลักการของความซื่อสัตย์สุจริตเหมือนเช่นประเทศที่พัฒนาทางการเมืองแล้ว ความจำเป็นในการใช้มาตรา 3 และมาตรา 7 ของประชาชนจึงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญ เหมือนเช่นการปฏิวัติโดยใช้กำลังทหารในอดีตที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้เป็นการปฏิรูปแบบมือเปล่า ซึ่งคณะกรรมการหรือเลขาธิการ กปปส. ก็คงต้องมั่นใจในความสามารถของการอาสามาทำการใช้อำนาจอธิปไตยชั่วคราวนี้จะได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนและจากทุกภาคส่วนของรัฐ
สภาทนายความเชื่อว่าแนวทางความคิดเห็นทางกฎหมายข้างต้น จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนคนไทยโดยทั่วกัน
สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์
10 มกราคม พ.ศ. 2557
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี