ที่พักเกาะเสม็ด
เกี่ยวกับเกาะเสม็ด
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ
อิเหนา หรือดาหลัง เป็นบทพระราชนิพนธ์และบทพระนิพนธ์ของเจ้านายหลายพระองค์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ที่มีชื่อเสียงในกระบวนบทละครรำเป็นที่สุด คือบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื้อความเกี่ยวกับวงศ์กษัตริย์ชวา ชื่อวงศ์อสัญแดหวา ผู้สืบเชื้อสายมาจากประตาระกาหลา ที่ถือกันว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เปรียบได้กับเง็กเซียนฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น อิเหนาเป็นชื่อที่เราเรียกตัวเอกของเรื่อง คือระเด่นมนตรี ผู้เป็นเจ้าชายแห่งเมืองกุเรปัน เมื่อยังเด็กได้หมั้นหมายไว้กับระเด่นบุษบา เจ้าหญิงเมืองดาหา เมื่ออิเหนาเติบโตเป็นหนุ่ม ต้องไปราชกิจต่างเมือง และได้พบกับนางจินตหรา ธิดาของเจ้าระตูบ้านนอก จนได้นางเป็นชายา ความทราบถึงเมืองดาหา ท้าวดาหาโกรธนัก จึงยกนางบุษบาให้แก่ระตูจรกา ผู้รูปชั่วตัวดำแต่มีใจมั่นคงสัตย์ซื่อ ครั้นมาภายหลัง อิเหนาได้พบกับบุษบา และเกิดหลงรักนางจนสุดชีวิตจิตใจ นึกเสียดายที่ตนต้องเสียคู่หมั้นแสนสวยให้แก่ระตูรูปชั่ว อิเหนาจึงลักพาตัวนางบุษบามาไว้ยังถ้ำทอง
นิราศเรื่องนี้ ท่านสุนทรภู่จับความจากตอนที่อิเหนากลับจากไปแก้สงสัยที่เมืองดาหา แล้วกลับมาก็พบว่า บุษบาถูกลมพาย ุหอบพัดเอาตัวนางหายไปจากถ้ำทองเสียแล้ว อิเหนาจึงยกทัพออกติดตาม ระหว่างทางก็รำพันคร่ำครวญถึงนางผู้เป็นที่รักอยู่มิได้ขาด อิเหนาเดินทางติดตามอยู่เป็นเวลาถึงเจ็ดเดือน ก็ยังไม่พบ เนื้อเรื่องจบลงที่อิเหนาและไพร่พลออกบวช เพื่อส่งกุศลให้บุษบาที่อิเหนาคิดว่าคงตายไปแล้ว
ไม่ปรากฏว่าท่านสุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้ไว้เมื่อใด แต่คงจะแต่งถวายเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นแน่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานจากสำนวนกลอนว่า สุนทรภู่น่าจะแต่งเรื่องนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถวายพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เมื่อครั้งสุนทรภู่ได้อาศัยพึ่งพระบารมีอยู่
๏ นิราศร้างห่างเหเสน่หา | |
ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา | พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย |
ตลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม | สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย |
โอ้เย็นค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | น้องจะลอยลมบนไปหนใด |
ฤๅเทวันชั้นฟ้ามาพาน้อง | ฤๅเทวันชั้นฟ้ามาพาน้อง |
แม้นน้องน้อยลอยถึงชั้นตรึงศ์ไตร | สหัสนัยจะช่วยรับประคับประคอง |
ฤๅไปปะพระอาทิตย์พิศวาส | ไปร่วมอาสน์เวชยันต์ผันผยอง |
ฤๅไปริมหิมพานต์ชานไกรลาส | บริเวณเมรุมาศราชศิงขร |
ฤๅจะออกนอกเนมินท์อิสินธร | เที่ยวลอยร่อนรอบฟ้านภาไลย |
โอ้ลมแดงแสงแดดจะแผดส่อง | จะมัวหมองมิ่งขวัญจะหวั่นไหว |
จะดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ | นี่เวรใดเด็ดสวาทให้คลาศคลา |
พระผันแปรแลรอบขอบทวีป | เห็นแต่กลีบเมฆเคลื่อนเกลื่อนเวหา |
จะแลดูสุริยนต์ก็สนธยา | จะดูฟ้าฟ้าคล้ำให้รำจวญ |
ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง | เห็นแท่นทองที่ประธมภิรมย์สงวน |
ไม่เห็นนุชสุดจะทรงพระองค์ซวน | ลห้อยหวนหิวโหยด้วยโรยแรง |
ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด | ระทวยทดทอดทบซบกรรแสง |
โอ้สุดแสนแค้นอารมณ์ด้วยลมแดง | ดูเหมือนแกล้งพัดไปให้ไกลทรวง |
เสียดายเอ๋ยเคยแอบแนบสนิท | ถึงชีวิตวอดวายไม่หายห่วง |
โอ้น้องนุชบุษบาสุดาดวง | พี่เปล่าทรวงทรวงดังจะพังโทรม |
โอ้โพล้เพล้เวลาปานฉนี้ | เคยเข้าที่พี่เคยได้เชยโฉม |
เห็นแต่ห้องน้องน้อยลอยโพยม | ยามประโคมมิรู้ลืมเจ้าปลื้มใจ |
โอ้เขนยเคยหนุนยังอุ่นอ่อน | แต่น้องน้อยลอยร่อนไปนอนไหน |
ยี่ภู่เอ๋ยเคยชิดสนิทใน | วันนี้ไกลกลอยสวาทอนาถนอน |
โอ้รินรินกลิ่นนวลยังหวนหอม | เคยถนอมแนบทรวงดวงสมร |
ยังรื่นรื่นชื่นใจอาไลยวอน | สอื้นอ้อนอารมณ์ระทมทวี |
จนฆ้องค่ำย่ำหึ่งหึ่งกระหึม | ยิ่งเศร้าซึมโศกาถึงยาหยี |
โอ้ยามอยู่คูหาเวลานี้ | เคยพาทีทอดประทับไว้กับทรวง |
โอ้อกเอ๋ยเคยอุ่นลมุนลม่อม | โอบอ้อมอ่อนตามไม่ห้ามหวง |
ยังเคลิ้มเคล้นเช่นประทุมกระพุ่มพวง | เคยแนบทรวงไสยาสน์ไม่คลาศคลาย |
จนเคลิ้มองค์หลงเชยเขนยหนุน | ถนอมอุ่นแอบประโลมว่าโฉมฉาย |
ครั้นรู้สึกดึกดื่นสอื้นอาย | แสนเสียดายสุดจะดิ้นสิ้นชีวัน |
เห็นสิ่งของน้องนุชยิ่งสุดเศร้า | พระไทยเฝ้าเคลิ้มไคล้ดังใฝ่ฝัน |
ยิ่งรำฦกตรึกตรายิ่งจาบัลย | สุดจะกลั้นรีบออกนอกบรรพต |
พินิจจันทร์วันเพ็งขึ้นเปล่งแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มวงทั้งทรงกลด |
สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมน้อมประนต | พระเลี้ยวลดแลแสวงดูแสงเดือน |
ดูเก๋งก่อต่อเตาเห็นเงาคล้าย | เขม้นหมายมุ่งไปก็ไม่เหมือน |
เห็นเงาไม้ไหวหวั่นให้ฟั่นเฟือน | จนเดือนเคลื่อนคล้อยฟ้าให้อาวรณ์ |
เห็นสระศรีที่เคยมาประพาศ | รดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน |
ลมรำเพยเชยชายกระจายจร | หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรย |
โอ้รินรินกลิ่นบุหงาสะตาหมัน | เหมือนกลิ่นจันทน์เจือนวลให้หวนโหย |
หอมยี่หุบสุกรมดอกยมโดย | พระพายโชยเฉื่อยชื่นยืนตลึง |
โอ้ที่นี่ศีลาเคยมานั่ง | เห็นบัลลังก์แล้วยิ่งนึกรำฦกถึง |
ดูเงื้อมเขาเงาไม้พระไทรซึ้ง | เสียงหึ่งหึ่งผึ้งรวงเฝ้าหวงรัง |
จังหรีดหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง | แว่วว่าน้องนึกเสียวพระเหลียวหลัง |
เห็นน้ำพุดุดั้นตรงบัลลังก์ | เคยมานั่งสรงชลที่บนเตียง |
เจ้าสรงด้วยช่วยพี่สีขนอง | แต่น้ำต้องถูกนิดก็หวีดเสียง |
โอ้รื่นรื่นชื่นเชยที่เคยเคียง | พระทรวงเพียงเผ่าร้อนถอนฤไทย |
ทุกเงื้อมเขาเหงาเงียบเซียบสงัด | ใบไม้กวัดแกว่งกิ่งประวิงไหว |
ยเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาไลย | ยิ่งเยือกในทรวงช้ำระยำเย็น |
เที่ยวรอบสระประทุมาสตาหมัน | เคยเห็นขวัญเนตรที่ไหนก็ไม่เห็น |
ชลไนยไหลซกตกกระเซ็น | ยิ่งเยือกเย็นหยุดยืนกลืนน้ำตา |
จนดึกดื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ | ตะลึงเหลียวเสียวซาบอาบนาสา |
เหมือนปรางทองน้องนุชบุษบา | ฤๅกลับมายืนแฝงอยู่แห่งใด |
เที่ยวดูดาวเปล่าเปลี่ยวเสียวสดุ้ง | จนจวนรุ่งรางรางสว่างไสว |
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร | ดวงดอกไม้บานแบ่งรับแสงทอง |
หอมมณฑาสารภีดอกยี่หุบ | บ้างร่วงหรุบถูกอุระพระขนอง |
ภุมรินบินว่อนมาร่อนร้อง | อาบละอองเกสรขจรจาย |
จนแจ่มแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น | ถอนสอื้นอาไลยพระไทยหาย |
ดูเวหาว่าแสนแค้นพระพาย | ไม่พาสายสวาทคืนมาชื่นใจ |
จำจะตามทรามชมทางลมพัด | เผื่อจะพลัดตกลงที่ตรงไหน |
ดำริห์พลางทางสท้อนถอนฤไทย | ให้เตรียมพลสกลไกรจะไคลคลา |
จึงแปลงนามตามกันเปนปันจุเหร็จ | จะเที่ยวเตร็ดเตร่ในไพรพฤกษา |
พลางอุ้มองค์ยาหยีวิยะดา | ขึ้นรถแก้วแววฟ้าแล้วพาไป |
พระเหลียวดูภูผาสตาหมัน | ที่สำคัญคูหาเคยอาไศรย |
จะแลลับนับปีแต่นี้ไป | จะมิได้มาเห็นเหมือนเช่นเคย |
เสียแรงแต่งแปลงสร้างจะร้างเริศ | ค่อยอยู่เถิดแผ่นผาคูหาเอ๋ย |
โอ้มิ่งไม้ไพรพนมเคยชมเชย | จะแลเลยลับแล้วทุกแนวเนิน |
โอ้นกเอ๋ยเคยพากันมาจับ | จะแลลับฝูงนกระหกระเหิน |
โอ้เขาสูงฝูงหงส์เคยลงเดิน | เคยเพลิดเพลินพิศวงด้วยหงส์ทอง |
จะเริดร้างห่างหงส์ไปดงอื่น | ทุกวันคืนค่ำเช้าจะเศร้าหมอง |
โอ้ก้านกิ่งมิ่งไม้เรไรร้อง | ประสานซ้องเสียงดังดูวังเวง |
ได้เคยฟังครั้งนี้มาวิบาก | ต้องพลัดพรากเพราะว่าลมทำข่มเหง |
แม้นพบเห็นเปนตัวไม่กลัวเกรง | จะรำเพลงกฤชลาญสังหารลม |
นี่จนใจไม่เห็นด้วยเปนเคราะห์ | มาจำเภาะพลัดคู่เคยสู่สม |
ยิ่งสุดแสนแค้นขัดอัดอารมณ์ | จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ |
แต่จำเปนเกนหลงมาดงด้วย | ต้องชี้ช่วยชมผาพฤกษาไสว |
กรดกระถินอินจันทน์พรรณไม้ | มีดอกใบก้านกิ่งขึ้นพริ้งเพรียว |
บ้างแก่อ่อนซ้อนซับสลับสล้าง | บ้างสดสร่างสีชุ่มชอุ่มเขียว |
ที่ตายตอหน่อหนุนขึ้นรุ่นเรียว | เถาวัลย์เกี่ยวกอดกิ่งเหมือนชิงช้า |
พระชวนพลอดกอดน้องประคองอุ้ม | ให้ชมเพลินเดินมงุมมงาหรา |
ป่าประเทศเขตรแคว้นแดนชวา | อินตผาลัมชุมสลุมพัน |
โกฏสดำจำปาดะดงองุ่น | สหัสคุณเข้าระคนปนปาหนัน |
สลาสล้างนางแย้มเข้าแกมกัน | หญ้าฝรั่นฝรั่งเรียงขึ้นเคียงดง |
โกฏกระวานกานพลูดูระบัด | กำจายกำจัดสารพันต้นตันหยง |
หอมระรื่นชื่นใจที่ในดง | พฤกษาทรงเสาวคนธ์ดังปนปรุง |
ที่พื้นปราบราบรายล้วนทรายอ่อน | เข้าดงดอนเลียบเดินเนินกุหนุง |
เทียนยี่หร่าป่าฝิ่นส่งกลิ่นฟุ้ง | สมส้มกุ้งโกฏจุฬาการบูร |
คิดถึงนุชบุษบานิจาเอ๋ย | มิได้เชยชมสบายมาหายสูญ |
ยิ่งโศกเสียวเหลียวหาให้อาดูร | ยิ่งเพิ่มภูลพิศวงในดงแดน |
ดูเล็บนางนึกถึงนางเหมือนอย่างเล็บ | เคยข่วนเจ็บรอยมีอยู่ที่แขน |
เห็นนมนางกลางพนมนึกชมแทน | ลม้ายแม้นเหมือนเหมือนจะเยื้อนยิ้ม |
มะปรางต้นผลอย่างพระปรางน้อง | น้ำเนตรคลองคลอคล้อยย้อยหยิมหยิม |
ฝืนอารมณ์ชมพลับต้นทับทิม | ขึ้นรอบริมหว่างเขาลำเนาเนิน |
พนมมาศลาดเลี่ยนเตียนตลิบ | บ้างสูงลิบลอยแหงนเปนแผ่นเผิน |
บ้างทมึนทึนเทิ่งเปนเชิงเทิน | เปนกรอกเกริ่นโกรกกรวยลำห้วยธาร |
เสียงสินธุดุดั้นลั่นพิฦก | สท้านสทึกโถมฟาดฉาดฉาดฉาน |
ที่น้ำโจนโผนพังดังสท้าน | บ้างพุซ่านสาดสายสุหร่ายริน |
คนึงถึงนุชบุษบาแม้นมาเห็น | จะลงเล่นลำธารละหารหิน |
ฝูงปลาทองท่องไล่เล็มไคลกิน | กระดิกดิ้นดูงามตามกระบวน |
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนกายขึ้นว่ายเกลื่อน | ไม่อ่อนเหมือนเนื้อน้องประคองสงวน |
ปลานวลจันทร์นั้นก็งามแต่นามนวล | ไม่งามชวนชื่นเช่นระเด่นดวง |
พลางรีบทัพขับรถกำหนดแสวง | ทุกหล้าแหล่งลำเนาภูเขาหลวง |
ไม่ประสบพบเห็นให้เย็นทรวง | ให้เหงาง่วงเงียบเหงาเศร้าพระไทย |
ถึงพลมากจากมิตรแต่จิตรเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวดั่งจะพาน้ำตาไหล |
เห็นนกหกผกโผนโจนจับไม้ | บ้างฟุบไซ้ปีกหางต่างต่างกัน |
นกกระตั้วคลัวเคลียตัวเมียป้อน | เหมือนขวัญอ่อนแอบประทับพี่รับขวัญ |
ป้อนสลาพาชื่นทุกคืนวัน | มาจากกันกรรมเอ๋ยไม่เคยเปน |
เห็นนกเปล้าเคล้าคู่เข้าชูชื่น | ถอนสอื้นเหมือนไม่พอใจเห็น |
พอเวลาสายัณห์ตวันเย็น | นกยูงเล่นลมเพลินบนเนินเตียน |
บ้างเยื้องอกหกหางก้อกางปีก | แฉลกฉลีกเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน |
บ้างย่างย่องจ้องประจงที่วงเวียน | ออกกลางเตียนตีนขวิดดูกรีดกราย |
คิดถึงไปใช้บนได้ยลสมร | เมื่อทอดกรฟ้อนรำรบำถวาย |
โอ้อาภัพลับนุชสุดเสียดาย | สอื้นอายมยุราให้อาวรณ์ |
เห็นเขาเขียวเดี่ยวโดดล้วนโสดสูง | แต่ล้วนฝูงหงส์จับสลับสลอน |
หงส์ก็งามตามอย่างเพราะหางงอน | เปนคู่ป้อนปกปิดกันชิดชม |
อรหันนั้นหน้าเหมือนมนุษย์ | ปีกเหมือนครุธครีบเท้ามีเผ้าผม |
พวกม่าเหมี่ยวเที่ยวเดินเนินพนม | ลูกเล็กล้มลากจูงเหมือนฝูงคน |
เหล่าเลมาะเงาะป่าคุลาอยู่ | เที่ยวกินปูเปี้ยวป่าผลาผล |
สิงโตตื่นยืนหยัดสบัดตน | เห็นผู้คนโผนข้ามลำเนาเนิน |
ฝูงมฤคถึกเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลุ้ม | เปนคู่คุมเคียงนางไม่ห่างเหิน |
เห็นกวางทองย่องเยื้องชำเลืองเดิน | เหมือนน้องเชิญพานผ้าประหม่าเมียง |
พี่เข้าด้วยช่วยประคองพระน้องนุช | สงสารสุดสุดสวาทไม่อาจเถียง |
โอ้ยามนี้มิได้น้องประคองเคียง | พี่ก็เสี่ยงบุญตามเจ้าทรามเชย |
เปนกุศลหนหลังเราทั้งสอง | คงได้น้องคืนมาเรียงเคียงเขนย |
แม้นกรรมหนุนบุญน้อยจะลอยเลย | มิได้เชยบุษบาพงางอน |
พระครวญคร่ำร่ำไรมาในรถ | โศกกำสรดแสนเสียดายสายสมร |
พอเวลาสายัณห์ตวันรอน | ปักษาร่อนรีบกลับมาจับรัง |
โอ้นกเอ๋ยเคยอยู่มาสู่ถิ่น | แต่ยุพินลิบลับไม่กลับหลัง |
ครั้นแลดูสุริแสงก็แดงดัง | หนึ่งน้ำครั่งคล้ำฟ้านภาไลย |
เหมือนครั้งนี้พี่มาโศกแสนเทวษ | ชลเนตรแดงเดือดดังเลือดไหล |
โอ้ตวันครั้นจะลบภพไตร | ก็อาไลยโลกยังหยุดรั้งรอ |
ประหลาดนักรักเอ๋ยมาเลยลับ | เหมือนเพลิงดับเด็ดเดี่ยวไปเจียวหนอ |
ชลไนยไหลหลั่งลงคลั่งคลอ | ยิ่งเย็นย่อเสียวทรวงให้ร่วงโรย |
ชนีน้อยห้อยไม้เรไรร้อง | เสียงแซ่ซ้องเริมรัวเรียกผัวโหวย |
เหมือนอกพี่ที่ถวิลให้ดิ้นโดย | ลห้อยโหยหานางมากลางไพร |
พระสุริยงค์ลงลับพยับค่ำ | ถึงแนวน้ำเนินผาพฤกษาไสว |
หยุดสำนักพักพลสกลไกร | พระเนาในรถทองกับน้องยา |
ถนอมแนบแอบองค์หลงหนึ่งหรัด | ให้บรรธมโสมนัสในรัถา |
ต้องจากวังครั้งนี้เพราะพี่พา | พระน้องมาอ้างว้างวังเวงใจ |
นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม | งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว |
คิรีรอบขอบเคียงเหมือนเวียงไชย | อยู่ร่มไม้เหมือนปราสาทราชวัง |
ถนอมแนบแอบองค์หลงหนึ่งหรัด | มาฟังเรไรแซ่เหมือนแตรสังข์ |
หนาวน้ำค้างกลางคืนสอื้นอ้อน | จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ |
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์ | ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย |
จักรจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง | ต่างสำเนียงขับครวญหวนละห้อย |
พระพายเอ๋ยเชยมาต้องพระน้องน้อย | เหมือนนางคอยหมอบกรานอยู่งานพัด |
โอ้เวลาปานฉนี้เจ้าพี่เอ๋ย | กะไรเลยแลเงียบเซียบสงัด |
น้ำค้างเผาะเหยาะเย็นกระเซ็นซัด | ดึกสงัดดวงจิตรจงนิทรา |
พระขวัญเอ๋ยเคยนอนอย่าร่อนเร่ | ไปว้าเหว่หว่างไม้ไพรพฤกษา |
ขวัญมาอยู่สู่ที่พระพี่ยา | พระมารดาบิตุเรศนิเวศน์เวียง |
พระขวัญเอ๋ยเคยแอบแนบถนอม | มาฟังกล่อมกลอนเพราะเสนาะเสียง |
โอ้แรมล่วงดวงเดือนก็เลื่อนเอียง | พี่พิศเพียงพักตร์แฝงพลิกแพลงบัง |
บุษบายาหยีเจ้าพี่เอ๋ย | ช่างลอยเลยลิบลับไม่กลับหลัง |
เมื่ออุ้มออกนอกเขตรนิเวศน์วัง | พระน้องนั่งรถทรงที่ตรงริม |
พี่หยอกเย้าเซ้าซี้มีแต่โกรธ | สอื้นโอษฐโอษฐเอี่ยมเสงี่ยมหงิม |
อยู่ใกล้เคียงเพี้ยงเอ๋ยได้เชยชิม | ถนอมนิ่มเนื้อน่วมร่วมฤไทย |
พระครวญคร่ำรำฦกจนดึกเงียบ | เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว |
สงบเสียงสิงสัตว์สงัดไพร | ทุกกอกิ่งมิ่งไม้พระไทรครึ้ม |
สุมาลย์บานกลิ่นระรินรื่น | ในเที่ยงคืนเสียงแต่ผึ้งหึ่งกระหึม |
ผีพระไทรไม้พุ่มงุมงุมงึม | โขมดพึมผิวกู่หวิวหวูโวย |
เหล่ามารยาป่าโป่งเที่ยวโทงเถื่อน | ตะโกนเพื่อนเพิกเสียงสำเนียงโหย |
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยโชย | ยิ่งดิ้นโดยเดือนดับไม่หลับเลย |
จนทรวงเจ็บเหน็บแน่นแหงนดูฟ้า | องค์ปะตาระกาหลาเจ้าข้าเอ๋ย |
พระน้องนุชบุษบาเจ้าข้าเคย | เปนคู่เชยชมชื่นให้คืนมา |
ทั้งโกสีย์ตรีเนตรเห็นเหตุสิ้น | ว่ายุพินอยู่ที่ไหนนำไปหา |
หาไม่ฉันวานแต่พระสุชาดา | ช่วยอุ้มพามาให้พบประสบกัน |
ทั้งพรหมานวานแต่พาหนะหงส์ | จะได้ทรงเหาะแสวงทุกแห่งสวรรค์ |
แม้นได้นุชบุษบาวิลาวรรณ | จะทำขวัญหงส์พรหมให้สมยศ |
จนพลบค่ำรำฦกนึกอนาถ | ไม่ไสยาสน์ยามวิโยคโศกกำสรด |
จนแจ่มแจ้งแสงตวันให้รันทด | ให้ยกทัพขับรถเลี้ยวลดเดิน |
ทุกแว่นแคว้นแดนชวาสุธาทวีป | เที่ยวเร็วรีบรอบเกาะดังเหาะเหิน |
ไม่พบเห็นเปนเคราะห์จำเภาะพเอิญ | ไปจนเกินมลากาภาราราย |
เมืองระตูรู้ทั่วกลัวอำนาจ | ต่างแต่งราชธิดามาถวาย |
ไม่ไยดีอีนังแต่ซังตาย | แม้นแก้วหายได้ปัดไม่ทดเทียม |
แม้นมิเหมือนเพื่อนเชยที่เคยชิด | ไม่ขอคิดนึกหน่ายละอายเหนียม |
แต่ปราไสไต่ถามตามธรรมเนียม | ไม่และเลียมเลยแสวงทุกแห่งไป |
ถึงเจ็ดเดือนเคลื่อนคลาศประหลาดแล้ว | ไม่พบแก้วกลอยจิตรพิสมัย |
จนพระรูปซูบผอมเพราะตรอมใจ | ทั้งนายไพร่พลนิกรอ่อนกำลัง |
จนถึงทางร่วมที่บุรีรัตน์ | ที่จะตัดมรคาไปกาหลัง |
เห็นเขาเขินเนินร่มพนมวัง | ต้นดงรังครึกครื้นระรื่นเย็น |
ที่ธารถ้ำน้ำพุทลุลั่น | เปนช่องชั้นบัลลังก์น่านั่งเล่น |
ผลาผลหล่นกลาดดาษกระเด็น | ดอกไม้เปนดอกพร้อมหอมรัญจวน |
จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา | เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน |
แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน | ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก |
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ | หักอาไลยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก |
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก | แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ |
จะสร้างพรตอดรักหักสวาท | เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย |
แม้นน้องนุชบุษบานิคาไลย | จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬศ |
จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศรม | รักษาพรหมจรรยด้วยกันหมด |
ปะตาปาอายันอยู่บรรพต | อุส่าห์อดอาไลยก็ไม่คลาย |
ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช | ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย |
จะสวดมนต์ต้นถูกไปผูกปลาย | ก็กลับกลายเรื่องราวเปนกล่าวกลอน |
คิดถึงนุชบุษบาออกมานั่ง | บนบัลลังก์เหลี่ยมผาหน้าศิงขร |
พระตรวจน้ำร่ำว่าด้วยอาวรณ์ | หวังสมรเหมือนจะคลาศในชาติ์นี้ |
จะอุส่าห์ปะตาปารักษากิจ | อวยอุทิศผลผลาถึงยาหยี |
จะเกิดไหนในจังหวัดปัถพี | ให้เหมือนปี่กับขลุ่ยต้องทำนองกัน |
เปนจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแลอังกฤษ | ให้สนิทเสนหาตุนาหงัน |
แม้นเปนไทยให้เปนวงศ์ร่วมพงศ์พันธุ์ | พอโสกันต์ให้ได้อยู่เปนคู่ครอง |
ครั้นกรวดน้ำสำเร็จเสด็จกลับ | เข้าห้องหับโหยไห้พระไทยหมอง |
ทุกเช้าค่ำรำฦกเฝ้าตรึกตรอง | จนขาดครองคราวสวาทนิราศเอย ๚ะ |