บ้านตากอากาศหรูแรงไม่ตก ทำเลเขาใหญ่ทะลัก 1,200 ยูนิต

สำรวจท็อป 5 บ้านตากอากาศ “ภูเก็ต-สมุย-พัทยา-หัวหิน-เขาใหญ่”ราคาแพงสุดหลังละ 400 ล้าน “เบคแฮม” ซุ่มซื้อหลังละ 300 ล้านเขาใหญ่รอขาย 1,200 ยูนิต “ชาญอิสสระ” เล็งระดมทุนกองรีท 3,500 ล้าน ลงทุนเพิ่มภูเก็ต-พังงา

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลสำรวจตลาดบ้านพักตากอากาศในประเทศไทย ณ เดือนกรกฎาคม 2561 พบว่ามียูนิตอยู่ระหว่างขายทั้งหมด 3,139 ยูนิต ขายแล้ว 67% 2,147 ยูนิต เหลือขาย 33% 1,044 ยูนิต สะท้อนให้เห็นดีมานด์ยังมีเข้ามาอยู่ตลอดเวลา โดยทำเลยอดนิยม 5 อันดับแรกอยู่ในพื้นที่ภูเก็ต, เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี), หัวหิน-ชะอำ (ประจวบคีรีขันธ์-เพชรบุรี), พัทยา (ชลบุรี) และเขาใหญ่ (นครราชสีมา)

ท็อป 5 มีทั้งภูเขา-ทะเล

ทั้งนี้ ภูเก็ตเป็นทำเลโดดเด่นที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) โดยมียอดขายแล้ว 80% ของหน่วยที่อยู่ระหว่างการขายในตลาด และเป็นพื้นที่ที่มีราคาขายสูงที่สุด ราคาขายเกินยูนิตละ 100 ล้านบาท มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 160 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน บ้านตากอากาศในพื้นที่เขาใหญ่มีหน่วยอยู่ระหว่างขายมากที่สุดเกือบ 1,200 ยูนิต และเป็นพื้นที่ที่มีบ้านพักตากอากาศเหลือขายมากที่สุดเช่นกัน โดยมีหน่วยเหลือขาย 500 ยูนิต “ลูกค้าเป้าหมายหลักเน้นขายกลุ่มนักธุรกิจ เศรษฐีทั้งชาวไทย-ชาวต่างชาติ ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่าง ๆ ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศไว้สำหรับพักผ่อนและเพื่อการลงทุนสุดยอดโลเกชั่น “ไหล่เขา”

นายภัทรชัยกล่าวต่อว่า สำหรับราคายูนิตละ 100 ล้านบาทขึ้นไป จุดเน้นตั้งอยู่ตามไหล่เขาเห็นวิวทะเล 180-360 องศา หรือเป็นบ้านพักตากอากาศติดชายหาดส่วนตัว บางโครงการในภูเก็ตมีราคาขายเกิน 1,000 ล้านบาทต่อยูนิตด้วยซ้ำ ส่วนบ้านพักตากอากาศอีกประเภทที่พบมาก คือ วิลล่าที่ไม่ได้เห็นวิวทะเล หรือวิวเขา แต่ตั้งอยู่ในพื้นที่ไม่ไกลจากทะเลหรือภูเขามาก เน้นดีไซน์เป็นพูลวิลล่า ชั้นเดียว ออกแบบตกแต่งอย่างประณีต ราคาขายอยู่ที่ 20-40 ล้านบาท มีดีมานด์จากลูกค้าต่างชาติตอบรับดีพอสมควร

ภูเก็ต-สมุยต่างชาติรุมตอม

สำหรับภาพรวมในจังหวัดภูเก็ตถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจมากสำหรับกลุ่มนักลงทุน เนื่องจากมีการปรับราคาขึ้นเฉลี่ย 8-15% ในแต่ละปี หลายโครงการที่มีพื้นที่ใช้สอย 1,500-3,200 ตารางเมตรนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงให้ความสนใจซื้อบ้านพักตากอากาศที่ภูเก็ตเป็นจำนวนมาก ล่าสุด “ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” เจ้าของธุรกิจสาหร่ายทอดกรอบแบรนด์เถ้าแก่น้อย ก็สนใจซื้อวิลล่าที่ภูเก็ตเช่นเดียวกัน

ตลาดในเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีผู้ประกอบการสนใจพัฒนาบ้านพักตากอากาศจำนวนมาก โดยมีวิลล่าราคา 50 ล้านบาทมากกว่า 30 ยูนิต รวมมูลค่า 1,800 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการขาย ในขณะที่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงราคา 20-30 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าเกาะสมุย 100% เป็นชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส รัสเซีย ทำเลที่กลุ่มเศรษฐีต่างชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ หาดเชิงมน หาดเฉวง หาดบ่อผุด เนื่องจากมีแนวชายหาดที่สวยงาม ส่วนใหญ่เป็นวิลล่าตั้งอยู่บนเขาสามารถเห็นวิวทะเลได้ 360 องศา

“ที่ผ่านมาก็มีข่าวว่า เดวิด เบคแฮม นักเตะซูเปอร์สตาร์คนดังชาวอังกฤษ สร้างบ้านมูลค่า 300 ล้านที่สมุย โดยซุ่มเงียบซื้อที่ดินแปลงงามย่านบ้านใต้ ขนาด 20 ไร่ โลเกชั่นตั้งอยู่บนเขาติดริมทะเล และมีชายหาดส่วนตัวที่สวยงามมาก”

หัวหิน-เขาใหญ่เศรษฐีไทยจอง

พื้นที่หัวหิน-ชะอำ-ปราณบุรี ซึ่งทำเลอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่ผ่านมาตลาดอยู่ในช่วงชะลอตัว เนื่องจากราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโครงการโซนฝั่งภูเขา กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปโดยเฉพาะสแกนดิเนเวีย สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ นิยมพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาและบริเวณซอยหัวหิน 112 ราคา 15-30 ล้านบาท

แบรนด์ที่น่าสนใจ คือ โครงการมหาสมุทร หัวหิน ของ บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ ราคา 35-80 ล้านบาท และบาบาบีช คลับ หัวหิน ของกลุ่มชาญอิสสระ ราคา 35-55 ล้านบาท ลูกค้าหลักคือเศรษฐี นักธุรกิจและบุคลากรทางการแพทย์จากกรุงเทพฯ

ส่วนตลาดเขาใหญ่นิยมซื้อเป็นบ้านตากอากาศหลังที่ 2 ลูกค้าเป็นกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป ให้ความสำคัญกับเรื่องการออกแบบค่อนข้างมาก

โครงการโดดเด่น ได้แก่ ทอสคานา วัลเล่ย์ ของบริษัท ทอสคานา วัลเล่ย์ จำกัด และเป็นพื้นที่แข่งขันสูง มีดีเวลอปเปอร์จากเมืองกรุงเข้าไปลงทุนจำนวนมาก อาทิ ค่ายแสนสิริ, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, ณุศาสิริ, แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น, ชาญอิสสระ, นายณ์ เอสเตท และกลุ่มสิงห์ ในนามบริษัทปิยะ อินเตอร์เนชั่นแนล

“พัทยา” คอนโดฯบูมมากกว่า

สำหรับตลาดบ้านพักตากอากาศพัทยาถือว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ที่อยู่ระหว่างการขายเป็นโครงการที่เปิดขายหลายปีแล้ว เนื่องจากผู้ซื้อสนใจซื้อคอนโดมิเนียมมากกว่า และลูกค้าวิลล่าในพัทยาส่วนใหญ่เป็นต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทยกับคนในพื้นที่

โครงการเปิดขายใหม่ในปี 2560 ที่น่าสนใจ คือ “แกรนด์ รีเจนท์ เฟส 3” จำนวน 15 หน่วย ราคา 18-30 ล้านบาท ทำเลติดโรงเรียนนานาชาติ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ชาวต่างชาติต้องการที่พักใกล้เคียง รวมทั้งมีผู้ประกอบการจากภาคอีสานอย่าง บริษัท พงษ์พิทยา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดขายโครงการแกรนด์ วัลเลย์ พัทยา ทำเลสัตหีบใกล้เขาชีจรรย์ ตั้งแต่ปี 2556 มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท รองรับความต้องการลูกค้าครอบครัวที่ต้องการที่อยู่อาศัยย่านสัตหีบ ปัจจุบันมียอดขาย 50%

ชาญอิสสระเล็งลงทุนเพิ่ม

นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กลุ่มชาญอิสสระมีบ้านพักตากอากาศ 3 ทำเลที่ภูเก็ต เขาใหญ่ และหัวหิน-ชะอำ ได้แก่ บ้านสีตะวัน เขาใหญ่ ราคา 14-18 ล้านบาท 55 แปลง ที่ดินเริ่ม 100-242 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 238-296 ตารางเมตร ปัจจุบันเหลือขาย 20 แปลง, บาบาบีช หัวหิน ราคา 43-83 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 95-918 ตารางเมตร ปัจจุบันเหลือขายไม่มาก, บาบาบีช คลับ ภูเก็ต ราคา 30-180 ล้านบาท

“โครงการบ้านตากอากาศเราทำเยอะที่สุดในประเทศไทย ช่วงครึ่งปีแรกตลาดหัวหิน-ชะอำมีดีมานด์เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่หวือหวา คาดว่าครึ่งปีหลังตลาดน่าจะดีขึ้น”

นายสงกรานต์กล่าวด้วยว่า สำหรับตลาดภูเก็ตถือว่าเป็นทำเลร้อนแรงที่สุดของตลาดบ้านพักตากอากาศ โดยชาญอิสสระมีสถิติขายวิลล่าราคาสูงสุดหลังละ 320 ล้านบาท และเหลือขายไม่มาก ดังนั้นจึงมีแผนลงทุนเพิ่มในทำเลภูเก็ต พังงา แต่ทำเลไม่ใช่ไพรมแอเรียเหมือนเดิม จึงคาดว่าราคาสูงสุดอยู่ที่หลังละ 200 ล้านบาท

แผนธุรกิจจะระดมเงินผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกอง REIT ปัจจุบันมีกองศรีพันวารีท ตั้งเป้าระดมทุนเพิ่ม 3,500 ล้านบาท โดยแบ่งยูนิตในโครงการบาบาบีช หัวหิน เข้าระดมทุนก่อน 500 ล้านบาทในปีนี้ สเต็ปต่อไปในปี 2562 นำยูนิตในโครงการบาบาบีช หัวหิน, พังงา (ร่วมทุนกับกลุ่มจุนฟาของจีน), ศรีพันวาในภูเก็ตบางส่วน ระดมทุนอีก 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาโครงการในอนาคต