ปัจจุบันมีอย่างน้อย 51 ประเทศทั่วโลกที่ "ยกเลิกการใช้พาราควอต" เนื่องจากข้อกังวลด้านสุขภาพและการประเมินความปลอดภัยในสารเคมีในเอเชีย ห้ามใช้พาราควอตแล้ว9ประเทศ ส่วนหลายประเทศในโลกแม้ไม่เลิกใช้แต่ "จำกัดการใช้"
ส่วนไทยนั้นมีการเคลื่อนไหวให้ยกเลิก 3 สารเคมีดังกล่าวตั้งแต่ยุค คสช.โดยกระทรวงสาธารณสุขเสนอให้มีการแบนสารเคมีอันตราย 3 ชนิด (พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต) เมื่อเดือนเมษายน 2560 แต่ความพยายามในไทยในการผลักดันการห้ามใช้สารเคมีอันตราย 3 ชนิดยืดเยื้อสองปีเศษและวันนี้ รมต.หลายคนในรัฐนาวาเรือเหล็กยังมีธงในการแบน 3 สารเคมีอันตรายนี้ให้หมดบทบาทในปีนี้
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข เผย "เรื่องนี้ไม่บานปลาย พรรคภูมิใจไทยไม่ถอย และไม่กลัว ส่วนฝ่ายที่ข่มขู่นักวิชาการคือพวกหน้าตัวเมีย เป็นคนกระจอก ถ้าแน่จริงให้มาขู่ตน หรือ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไปขู่นักวิชาการ มันเปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นของเราไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนฝ่ายที่โดนข่มขู่อยากให้สบายใจ เมื่อท่านทำดีความดีจะเป็นเกราะคุ้มครอง และขณะนี้กำลังประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปดูแลแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ "มนัญญา" ลุยตรวจบริษัทเอกชนสองแห่งเพื่อตรวจสต็อกสองในสามสารเคมีที่พบข้อพิรุธอื้อและเตรียมที่จะไล่เรียงเช็กบิลเพื่อสะท้อนความโปร่งใสให้สังคมกระจ่าง
ส่วนท่าทีขอ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน เปิดเผยถึงแนวทางการยกเลิกใช้พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสว่า ยืนยันไม่ได้สนับสนุนให้ใช้สาร 3 ตัวนี้ เพียงแต่กระบวนการยกเลิกมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พ.ร.บ.วัตถุอันตรายและคณะกรรมการวัตถุอันตรายกำกับดูแลเรื่องนี้อยู่
พร้อมบอกว่า คณะกรรมการชุดนี้แต่งตั้งก่อนที่ตนจะมารับตำแหน่ง แต่ก็ได้มอบหมายงานให้ น.ส.มนัญญา รับผิดชอบเรื่องนี้ ได้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนไม่เห็นด้วย ถือเป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ จึงไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เพราะมี รมช.เกษตรฯดูแลอยู่ หากคณะกรรมการมีมติให้ยกเลิกใช้ก็พร้อมดำเนินการทันที
หลายคนมองว่า "เฉลิมชัย" ยังแทงกั๊ก ส่วนอนุทิน ออกโรงเต็มสูบต้านการใช้สามสารเคมีข้างต้นเพราะกระแสสังคมไม่ยอมรับการใช้สารเคมี 3 ตัวที่ว่ามา หากถึงวันเส้นตายยังมีการฝืนกระแสไม่แบนสามสารเคมี แบบไร้คำชี้แจงที่มีน้ำหนักเชื่อเลยว่าวันนั้นรัฐนาวาลุงตู่น่าจะ คลอนแคลนเพราะเรื่องนี้แน่นอน
มุมมองของหนึ่งในภาคเอ็นจีโอคือวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) หนึ่งใน กมธ.วิสามัญชุดนี้ที่เข้าไปร่วมดำเนินการนั้น มีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความหวังในการต่อต้านสามสารเคมีดังกล่าว โดยระบุว่า กมธ.เห็นพ้องการแบน และจากนี้จะเชิญฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลและเตรียมทำเอกสารคู่ขนานไปด้วยรวมทั้งลงพื้นที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อดูการนำเข้าพืชผลเกษตรจากจีนรวมทั้งลงพื้นที่ที่มีปัญหาการใช้สารเคมีและมีการแก้ไขแล้วอย่างที่ จ.หนองบัวลำภู เพราะพื้นที่นี้โรคเนื้อเน่าลดลงหลังยุติการใข้สารเคมี 3 ชนิดนั้น
โดยให้ข้อมูลด้วยว่าในหนึ่งปีที่ผ่านมามีการนำเข้าสารเคมี 3.6 หมื่นล้านบาท และมีการทำการตลาดจนมีราคา 6-9 หมื่นล้านบาท สามสารเคมีนั้นมีสัดส่วนในตลาดเกินร้อยละ 50 หากแบนสามสารเคมีได้มันกระทบวงจรธุรกิจของใครบางคน แต่เมื่อมาทำงานใน กมธ.ได้พบ รมช.เกษตรฯ (มนัญญา ไทยเศรษฐ) ก็เห็นความตั้งใจ รวมทั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ผลักดันเต็มที่ทั้งในบทบาทหัวหน้าพรรคและรัฐมนตรี
ส่วนสารี อ่องสมหวัง เลขาธิการเพื่อผู้บริโภค มองว่า ได้เห็นความตั้งใจของ รมช.เกษตรฯและ รมว.สาธารณสุข ที่แสดงท่าทีชัดเจนในการยุติการใช้สามสารเคมีในประเทศ รวมทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่มีแนวโน้มยกเลิกการใช้สามสารเคมีดังกล่าว โดยระบุว่า ผลการศึกษาพบว่าสามสารเคมีนี้ตกค้างในพื้นดินและสัตว์ เพราะพบว่า"น้ำปู๋" (เครื่องปรุงรสที่สำคัญในอาหารไทยภาคเหนือทำจากปูนา) ที่นำมาทดสอบก็พบมีสารเคมีสามชนิดนี้ตกค้างเกินมาตรฐาน เมื่อนำน้ำปู๋มาบริโภคสามสารเคมีนี้ก็อยู่ในอาหารที่คนไทยรับประทานเข้าไป ดังนั้นควรยกเลิกไปเลยไม่ควรยื้อแบบนี้อีก เพราะชี้ชัดแล้วว่าเกิดอันตรายอย่างไรต่อสิ่งแวดล้อม สัตว์และชีวิตของคนไทย รอดูการสรุปของคณะกรรมการวัตถุอันตรายว่าจะดำเนินการอย่างไร แม้ว่ารัฐมนตรีหลายคนใน ครม.ชุดนี้จะแสดงชัดแล้วว่าต้องการยกเลิกการใช้สามสารเคมีในปีนี้ ตรงนี้ขอชื่นชม