ปั๊ม “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู!” เสียงเพลงอวยพรวันเกิดจบลง พร้อมกับผมที่อุ้มเค้กเข้ามาให้ลุงเอกเป่า ผมตกใจมากเลยเมื่อเห็นพ่อบ้านอีกครั้งซึ่งในเวอร์ชั่นที่แก่มากขึ้น เราอาจจะเรียกเขาว่าลุงไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ผมพยายามไม่คิดมาก แม้มันรู้สึกใจหายหลังจากคิดว่าสิ่งที่กลัวอาจจะมาเร็วกว่าที่คิด
“ขอบคุณทุกคนมากครับ” ลุงเอกแทบจะโค้งตัวคำนับ
“ขอแข็งแรงขึ้นทุกปีนะครับ” ตรองเดินมาอวยพร
“นี่ของขวัญจากผมครับ” ไวน์หิ้วกระเช้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังมาให้ ผมเกือบจะหลุดขำออกมาแล้วเชียว แม่งทำอย่างกับเยี่ยมคนป่วย
“ขอบคุณทุกคนครับ”
“อะนี่ของปั๊ม” ผมยื่นซองสีขาวให้
“คุณปั๊มจะไล่ผมออกเหรอครับ”
“จริงๆ ก็ประมาณนั้นนะ” ผมแกล้งทำหน้ากวน “แต่ลุงเอกเปิดเถอะ”
พ่อบ้านทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อฉีกซองนั้นออกมา กระดาษแผ่นบางๆ ด้านในก็ติดมาคนเปิดมาด้วย ลุงเอกเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งนั้น มันคือเช็คที่มีจำนวนเงินเขียนไว้แล้วเสร็จสรรพ
“ผมวางแผนให้ลุงเอกเกษียรมานานแล้ว ผมว่าป๊ากับแม่ก็คงคิดแบบเดียวกันแน่นอน”
“แต่ว่า…นี่มันไม่เยอะไปเหรอครับ”
“เอาไปเหอะ ลุงก็มีครอบครัวไม่ใช่เหรอ”
“คือว่า…”
“เก็บไว้เถอะ แล้วสักวันลุงต้องใช้มันเองแหละ”
“ผมไม่อยากไปจากที่นี่”
“ผมก็ไม่อยากให้ลุงเอกเป็นอะไรที่นี่เหมือนกัน ผมคงทำใจไม่ได้”
“…”
“ลุงเอกยังมีลูกหลาน ผมว่าเขาก็อยากอยู่กับลุงนะ ผมก็อยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าอยู่ตรงนั้นไม่สบายใจก็กลับมาหากันก็ได้ แต่ครอบครัวต้องมาก่อนนะ”
“…”
“แต่เอาไว้ลุงเอกพร้อม ก็ค่อยตัดสินใจทำอะไรแล้วกัน ผมแค่หวังดี”
“…”
“ปั๊มไม่ได้ไล่ลุงออก แค่อยากให้ไปใช้ชีวิตเฉยๆ จะไปเที่ยวไปทำธุรกิจเล็กๆ อะไรก็ได้นะ”
“ขอบคุณครับ” ลุงเอกพูดออกมาในที่สุด พร้อมกับเก็บซองนั้นไว้อย่างดีด้านในกระเป๋าเสื้อ
เราทุกคนมองมองหน้ากัน วินาทีนี้คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ผมไม่สัมผัสมานานแล้ว
“คุณปั๊ม” ตรองเดินปรี่เข้ามาหา พร้อมกับกอดฟอดใหญ่
“เป็นยังไงบ้างตรอง”
“ก็ดีนะฮะ ดีใจที่เจอคุณปั๊มอีก ดูโตมากขึ้นเลยทีเดียว”
“มันแคระจะตาย โตตรงไหน” ไอ้ไวน์เดินเข้ามาเสือก
“เออกูก็สูงได้แค่นี้แหละวะ”
ผมละสายตาจากพวกมันสองคนออกไปนอกบ้าน ชะเง้อมองประตูรั้วด้วยความหวัง
“มึงมองอะไรวะ” ไอ้ไวน์จับสังเกตได้
“เปล่า”
“มีใครกำลังจะมาเหรอ” ตรองเข้ามาร่วมทัพ
“แค่มองดูเฉยๆ” ผมสะบัดหัว “ไม่มีใครมาหรอก”
ใช่…เขาคงไม่มาแล้ว ไม่น่าเสียเวลาชวนเลย
“งั้นกูต้องกลับก่อนแล้วว่ะ มึงอยู่ถึงอาทิตย์หน้าใช่มั้ย”
“อือ”
“ดี เดี๋ยวเจอกัน” มันโบกมือลา พร้อมกับหันไปไหว้ลุงเอก ตอนนี้มันดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะ ไม่สแว๊กเหมือนแต่ก่อน แต่งตัวก็ดี การทำงานคงทำให้มันเปลี่ยนไปได้
“กูรักมึงนะ” อยู่ๆ ผมก็พูดออกไป ไวน์ชะงักมองหน้าผมเหมือนกำลังจับผิด
“อ่า” มันพยักหน้า “กูต้องบอกรักกลับมั้ยวะ”
“ไม่ต้องหรอก ขับรถกลับดีๆ”
“โอเค… พี่ตรอง จะติดรถผมกลับมั้ย” มันหันไปถามคนข้างๆ
“งั้นก็ได้ ไว้เจอกันนะครับคุณปั๊ม”
“โอเค กลับกันดีๆ ครับ” ผมยิ้มหวานบอกลาทุกคน
และบ้านก็กลับมาเงียบอีกครั้ง… ผมกอดอกมองลุงเอกที่ค่อนข้างจะเชื่องช้ากว่าแต่ก่อนอย่างลำบากใจ ทำไมห้าปีมันนานถึงขนาดทำให้คนเราแก่ขึ้นขนาดนี้นะ
“ไปนอนเถอะลุงเอก ผมจัดการเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“นี่เป็นคำสั่งนะ”
“งั้นก็ได้ครับ”
ลุงเอกพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยๆ หายไปในมุมของเขา
ผมทำความสะอาดทุกอย่างบนโต๊ะ จัดการเก็บเค้กไว้ในตู้เย็น รวมถึงยัดจานเข้าไปในเครื่องล้าง เมื่อทุกอย่างเสร็จผมก็คิดกับตัวเองว่าก็ทำได้นี่หว่า ไม่เห็นจะยากอะไรเลย
“ไง” ผมเกือบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นชินแทรกความเงียบ กัปตันยืนพิงขอบประตูอยู่ เขาอยู่ในชุดสบายๆ คราวนี้เป็นเสื้อยืดสีขาวที่มีเสื้อเชิ้ตสีฟ้าทับอยู่ข้างนอก เขายังใส่กางเกงยีนส์สีฟอกแบบเดิม รวมถึงแว่นที่นานๆ ทีเขาจะใส่ก็อยู่บนใบหน้า เดาว่าเขาคงอยากจะใส่มันถาวรแล้วด้วยซ้ำ คนแก่นี่นะ
“มาทำไมเอาป่านนี้ กลับไปกันหมดแล้ว”
“เผลอหลับ” เขาเกาหัวแก้ตัว “พอแก่แล้วมันง่วงตลอดเลย”
“อ่า…”
“แต่ก็ดีจะได้ไม่ต้องเจอคนอื่น เขาคงไม่อยากเจอฉัน”
“คิดมากน่า” ผมเดินเข้าไปหา “ผมอยากเจอนะ”
กัปตันยืนตัวตรง พร้อมกับยิ้มมุมปาก ผมยุ่งๆ ที่ไม่ได้เซ็ตแบบนั้นทำให้เขาดูเด็กลงกว่าเดิมเยอะเลย
“จริงเหรอ”
“ทำไมจะไม่อยากเจอล่ะ ผมไม่ใช่คนใจร้ายนะ” ผมกอดอก “กินอะไรมาหรือยัง”
กัปตันส่ายหัว
“งั้นรอแปบ”
“ไม่รบกวนดีกว่า”
“เป็นอะไรกันเนี่ย คุณกลายเป็นคนแก่ขี้เกรงใจตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็เธอดู… โตขึ้น” กัปตันเกาท้ายทอย “ฉันทำตัวไม่ถูก”
“แล้ว?” ผมหันกลับไปหาเขาอีกครั้งพร้อมกับเอียงคอถาม “ไม่ดีหรือไง”
“นี่เธออ่อยฉันเหรอ” กัปตันยิ้มเห็นฟันขาว
“ก็อาจจะใช่นะครับ” ผมกระตุกมุมปากขึ้น “อยากลองดูปฏิกิริยาของคุณว่าจะเป็นยังไง”
ซึ่งตอนนี้…ในตัวเขาคงพุ่งพล่านหมดแล้ว
“ไปนั่งสิ ผมจะหาอะไรมาให้กิน”
กัปตันทำตามคำสั่งผมอย่างว่าง่าย ผมเดินหายไปในครัวพร้อมกับหยิบของทานเล่นที่เหลือจากปาร์ตี้ก่อนหน้านี้มาให้เขา รวมถึงเค้กของลุงเอกที่เฉือนแบ่งมาด้วย
คนแก่กว่าหันมาเลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัยเมื่อเห็นผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาบนโซฟาตัวเดียวกัน
“จะนั่งดูฉันกินเหรอ?”
“ทำไมอะ ดูไม่ได้เหรอ”
“งั้นมากินด้วยกันสิ”
“ผมอิ่มแล้ว” พูดจบผมก็เอนตัวกับหมอนแล้วยกขาขึ้นมาพาดไว้บนตักของคนข้างๆ ดูเหมือนกัปตันจะงงๆ เล็กน้อยแต่ก็ใช้ส้อมจิ้มอาหารขึ้นมาลิ้มรสแต่โดยดี
“อร่อยมั้ย”
“ถามทำไม ทำเองเหรอ”
“ทำเองก็เก่งเกินไปแล้ว ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นซะหน่อย”
“แล้วเธอเก่งเรื่องอะไรบ้าง”
“ผมเรียนจบได้เกียรตินิยมล่ะ”
“แล้วเรื่องอื่นล่ะ” กัปตันวางมือบนหน้าแข้งผม ไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ว่ากำลังลูบไล้ไปมา นี่เขาทำอย่างกับเราสองคนคุณครูโรคจิตกับนักเรียนคนโปรดแหนะ
“คุณกำลังอ่อยผมเหรอกัปตัน”
“เปล่าซะหน่อย” คนแก่กว่ายิ้มมาให้
แล้วเราก็มองหน้ากันค้างไว้อย่างนั้น จนเป็นฝ่ายผมเองที่ได้สติก่อนและกลับมานั่งตัวตรงตามปกติ กัปตันเฉไฉทำเป็นตักเค้กขึ้นมาชิมอย่างตั้งใจอย่างกับมันเป็นอาหารระดับห้าดาว
เชี่ยเอ๊ย กูกำลังจะทำอะไรวะเนี่ย
“พรุ่งนี้มีบินมั้ย” ผมเป็นฝ่ายเริ่มพูด
“ไม่มีครับ”
“อืม…งั้นก็อยู่นานๆ ได้สินะ”
“ก็คงนั้น”
“ถ้างั้นไม่ต้องรีบกินหรอก”
“ฉันไม่ได้รีบอะไรเลย” กัปตันงงแดกหนักกว่าเดิม โอยยยย เป็นอะไรวะเนี่ย
แค่อยากอยู่ด้วยกันนานๆ อะ
ผมคิดถึงเขา ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงเลยด้วย
“ผมเปลี่ยนไปมากมั้ย”
ผมปล่อยให้อีกฝ่ายสำรวจทั่วตัว “ก็ไม่มากนะ”
“อือ”
เคล้ง! อยู่ๆ กับตันก็วางส้อมลงอย่างดื้อๆ และหันมาทางผมด้วยท่าทางจริงจัง
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
“เปล่านี่ครับ”
“แล้วเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง”
“ไม่น้า”
“แล้วเป็นอะไร”
โอย แย่แน่เลย
“ก็…”
แย่แล้วๆๆ
“ผมว่าผมต้องคิดถึงคุณมากไปแล้วแน่ๆ เลย”
“ฮะ?”
“ตอนเจอกันบนเครื่อง ผมยังตกใจอยู่ที่อยู่ๆ ที่เห็นคุณ พออยู่กันสองคนแบบนี้แล้วผมรู้สึกอยากใกล้ชิดคุณมากๆ ไม่รู้ทำไม” ผมไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ กัปตันทำหน้าอย่างกับผู้ปกครองที่กำลังหงุดหงิดแหนะ “แต่ผมไม่อยากเสียฟอร์ม ตั้งใจจะไม่ให้ตัวเองเป็นแบบเมื่อก่อน”
ผมตัดสินใจหันไปมองเขา ผิดคาดแฮะ เขาไม่ได้ทำหน้าดุนี่หว่า หนำซ้ำอย่างกับกลั้นขำแหนะ
“มีอะไรตลกเหรอ?”
“เปล่า” กัปตันหันไปตักเค้กต่อ “ฉันรู้ดีว่าเธอเป็นพวกชอบความชัดเจน”
“คุณไม่เห็นเป็นแบบผมเลย คงไม่ได้คิดเหมือนกันล่ะสิ”
“ใครบอก” เขาเท้าแขนกับโซฟาขณะที่มองมา “ฉันแค่เก็บอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่า”
“อะไรๆ ก็ดีกว่าผมทั้งนั้นแหละ”
“เธอคงไม่รู้ล่ะสิ ว่าฉันกำลังเขินเธอ”
“อะไรนะ? คุณเนี่ยนะเขิน”
“เห็นมั้ย นี่แหละคือการเก็บอารมณ์”
“ไหนลองไม่เก็บซิ”
กัปตันเอนตัวหนีพร้อมกับเม้นปากตัวเองไปด้วยพร้อมกับยักคิ้วไปมา
“นี่อะนะเขิน”
“คนเราก็เขินต่างกัน”
“เขินของคุณโคตรกวนตีนเลย”
“ใช้คำหยาบซะแล้ว เหมือนเดิมไม่ผิด”
“ไม่ชอบเหรอ”
กัปตันเอื้อมมือมาปัดผมที่ปรกหน้าผากของผมให้พ้นตา “ไม่ชอบแต่ก็ชอบ เพราะมันทำให้ฉันรู้ว่าเธอยังเป็นเธอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็เถอะ”
อยู่ดีๆ เขาก็เริ่มเปลี่ยนมู้ด ผมเลยเขยิบตัวเข้าไปพิงไหล่เขาพร้อมกับโอบเอวคนแก่กว่าไว้แน่น
“นี่…”
“หือ?” เสียงเขาดังอยู่บนหัว ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นเวลาเขาพูดที่บริเวณหน้าอก
“เสียใจด้วยนะ เรื่องแม่ของคุณ”
“ใครบอกเธอ”
“ตรอง”
ใช่ครับ เรื่องนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากคุยกับเขามากขึ้น
พอได้รู้เรื่องนี้ก็สงสารเขาจับใจ
“ขอบใจมาก แม่ไปสบายแล้ว"
“ห้าปีมันทำให้อะไรผ่านไปเร็วมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมบ่นกับตัวเอง
“เวลาติดปีก”
“แล้วอีกห้าปีเราจะยังเจอกันอยู่มั้ย"
“ถ้าพูดจากตอนนี้ เราอาจจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่ก็ได้” กัปตันว่า “แต่ถ้าเรารักกัน ฉันจะยังอยู่กับเธอ”
“นั่นสินะ ผมก็อยู่คนเดียว คุณก็อยู่คนเดียวนี่นา” ผมเล่นกระดุมเสื้อของอีกฝ่าย ทำอย่างกับมือมันว่างขนาดนั้นงั้นแหละ
“นี่ปั๊ม ฟังฉันนะ” เขาจับไหล่ผมให้หันมาตรงกับเขา “ฉันรู้ว่าเราผ่านอะไรกันมา และฉันไม่อยากพูดถึง เพราะฉะนั้นฉันจะไม่รีบ ฉันรอได้ เข้าใจที่พูดใช่มั้ย”
ผมพยักหน้า “เข้าใจ”
“แค่เธอพูดมาเมื่อไหร่ว่าตกลง ฉันจะอยู่กับเธอเอง”
“ถ้าผมตกลงตอนนี้ล่ะ” ผมเอียงคอถาม
“ไหนบอกจะขอเวลาคิดก่อน”
ผมนิ่งเงียบ ทำหน้าทำตาเหมือนคนคิดเลขในใจ “อืม…คิดเสร็จแล้ว”
“ไม่ตลกนะ”
“จริงๆ ไม่ได้กวนอะไรเลย” ผมยืนยัน “ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนเด็กกว่านี้ การตัดสินใจอะไรเร็วๆ คือไม่รอบคอบ แต่พอโตขึ้นมันทำให้รู้ว่า การตัดสินใจเร็วๆ ก็หมายถึงไม่อยากเสียเวลาได้ด้วย”
“…”
“และตอนนี้ผมไม่อยากเสียเวลา”
“ฉันรู้”
“คุณก็คงรู้นี่ว่าหลายปีที่ผ่านไปมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่าให้เวลาที่เดินต่อไปจากนี้มันสูญเปล่าเลย”
กัปตันคลี่ยิ้มพร้อมกับใช้มือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู
“ใครทำอะไรกับปั๊มคนเดิมของฉันเนี่ย”
“อย่าแซวน่า” ผมปัดมือนั้นออก พร้อมกับเท้าคางมองคนหล่อข้างๆ “เมื่อกี้ว่าคุณกำลังเก็บอารมณ์ใช่มั้ย”
“อืม ทำไมอะ” กัปตันตักเค้กเข้าปากอีกชิ้น โอ๊ย เดี๋ยวก็อ้วนตายหรอก
“ไหนลองไม่เก็บอารมณ์หน่อยสิ ผมอยากรู้ว่าเป็นยังไง”
กัปตันเลิกคิ้วเหมือนถามความแน่ใจกับสิ่งที่ผมพูด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็วางส้อมลงอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย เขาคว้ามือผมขึ้นมาดมอย่างจริงจัง และหลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ ไล่ขึ้นมาผ่านแขน หัวไหล่ คอ คาง จนตาเราประสานกันพอดี
สุดท้ายแล้วเขาก็จูบผม เป็นจูบที่เร่าร้อนใช้ได้ อืม…จะเอาไปเทียบกับใครละวะ ก็ทั้งชีวิตเคยจูบแม่งอยู่คนเดียวนี่แหละ แต่เหมือนยิ่งแก่ยิ่งหมดน้ำยา เขาถอนปากออกมาเพื่อหายใจหลายครั้งอย่างกับปลาหางนกยูง เล่นเอาผมเกือบหมดอารมณ์ไปเลย จึงต้องเป็นฝ่ายผมเองที่จับแก้มเขาและรุกจูบเพื่อไม่ให้ขาดช่วง มือหนาใหญ่ของคนตรงหน้า บัดนี้ล้วงเข้ามาเล่นในจุดที่สัปดนซะแล้ว
“ขอถอนคำพูด” กัปตันถอนปากออกพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ “จริงๆ ก็มีอะไรเปลี่ยนไปนิดหน่อย”
“ไอ้ทะลึ่งเอ๊ย”
ผมผลักกัปตันให้นอนราบ จากนั้นก็ขึ้นคร่อมจนรู้สึกเหมือนได้เป็นฝ่ายครอบครองบ้าง กัปตันคงเห็นท่าไม่ดีจึงจับพลิกและกลับมาอยู่ด้านบนแทน เขาชี้หน้าผมประมาณว่ารู้ทัน จากนั้นก็ถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก บัดนี้ผิวหนังที่เคยได้สัมผัสเมื่อนานมาแล้วกำลังโชว์ผมอยู่ตรงหน้า และมันยังไร้ที่ติเหมือนเดิมเปี๊ยบ
กัปตันจูบผมอีกครั้ง ตอนนี้เราทั้งคู่ไม่ได้เครื่องร้อนแล้ว กำลังอุ่นๆ มากกว่า รู้สึเรื่อยๆ ไม่รีบ ผมชอบนะ
“เราไปเดทกันเถอะ” กัปตันส่งเสียงแหบๆ อยู่ด้านบน ตัวสั่นเทิ้มอย่างกับว่านี่เป็นครั้งแรก
ผมแทบจะหัวเราะออกมา “เดี๋ยวนะ เขาต้องเดทก่อนถึงจะมีอะไรกันไม่ใช่เหรอ”
“อ้าว หมาตัวไหนบอกว่าไม่อยากเสียเวลา”
“โฮ่ง โฮ่ง” ผมแกล้งเห่า ทำเป็นลืมคำพูดตัวเอง “งั้นพรุ่งนี้แล้วกัน”
“พรุ่งนี้ฉันว่าง ดีลครับบอส”
“ตามนั้นครับ คุณลูกจ้าง”
เราสองคนหัวเราะคิกคัก เซ็กซ์ครั้งนี้กลายเป็นเรื่องตลกขึ้นมาซะได้ เราสองคนกอดก่ายกันไปมา รู้ตัวอีกทีก็เหลือแก่กางเกงในตัวเองเดียวแล้ว กัปตันต้องเป็นคนมือเร็วเสมอสินะ ให้ตายเหอะ
“ยังเป็นรอยแผลเป็นอยู่เลย” กัปตันใช้นิ้วลูบไปยังรอยด่างๆ ที่เกิดจากเหตุการณ์ในอดีต มันอยู่ตรงซี่โครงและไม่เคยจางไปสักที
กัปตันก้มลงไปจูบเบาๆ “ขอโทษนะ”
ผมคว้ามือคนบนตัวออกมา “ไหนว่าจะไม่พูดถึงมันไง”
“มันชัดมากเลย”
“ช่างมันเถอะ นี่คุณสนใจแผลเป็นตัวผมมากกว่างั้นเรอะ จะหึงดีมั้ยเนี่ย”
“ก็ฉันอยากสำรวจทุกซอกทุกมุม”
หลังจากพูดจบไม่นาน เขาก็พาลิ้นอุ่นๆ ไปไหนต่อไหนจนผมกระตุกเกร็ง ไอ้ที่บอกทุกซอกทุกมุมไม่คิดว่าจะ ‘ทุกซอกทุกมุม’ แบบนี้นี่โว้ยยยย
“กัปตัน มันโจ่งแจ้งไปมั้ยเนี่ย ในห้องนั่งเล่นแบบนี้อะ”
“เราไม่ได้ทำอะไรกันสักหน่อย เรากินเค้ก”
แหมมม ยักคิ้วหลิ่วตา ผมจัดการใช้นิ้วจิ้มที่ครีมบนเค้กและตั้งใจจะป้ายไปบนหน้ากัปตันด้วยความหมั่นไส้ ทว่าเขากลับล็อคแขนผมไว้ได้ แถมยังเพิ่มความร้อนแรงด้วยการนำมันเข้าปากดูดครีมจนหายไปหมด โอเคกัปตัน คุณกำลังทำให้ผมกู่ไม่กลับแล้วนะ
“อยากเทคออฟหรือแลนดิ้ง”
ฮะ!?” ผมทำหน้างงใส่กัปตัน
“เลือกมาเร็วๆ”
อ๋ออออออออออ เขาคงจะหมายถึงจะขึ้นหรือจะอยู่ด้านล่างปะวะ?
โอ๊ยยยย จะถามทำไมเนี่ย
“คุณไม่มีสิทธิ์ขับผมนะครับกัปตัน”
“งั้นเลือกให้ เทคออฟแล้วกัน”
“เดี๋ยว!”
ยังไม่รอให้ผมห้าม กัปตันก็พลิกตัวให้ผมนั่งอยู่บน…กางเกงยีนที่แน่นปั๋งของเขา
“เชิญเลย” เขายกแขนขึ้นหนุนโชว์วงแขนที่เป็นมัดได้รูป
โอ๊ยยยยยยย ทำไมต้องมาอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วย!
“…” ผมใช้มือจับนั่นนี่สะเปะสะปะ แต่ก็จริงจังอย่างตั้งใจ แต่เหมือนมันคงไม่น่ามอง เพราะคนข้างล่างดูตกใจ ผมคงเพี้ยนจนกัปตันคงรู้สึกว่าเองคิดผิด
“งั้นไม่เอาดีกว่า” เขาพลิกตัวมาทาบทับผมเหมือนเดิม “แบบนี้น่ารักสุดแล้ว”
“เอ่อ…” ยังไม่ทันพูดจนจบประโยค กัปตันก็จูบผมอีกรอบ คราวนี้เต็มไปด้วยความจริงจัง แต่ก็ค่อยๆ ไปตามจังหวะ ความร้อนที่แผ่นกระจายไปทั่วทำให้รู้ว่าคงจะถึงเวลาของมันแล้วจริงๆ สินะ
มือกัปตันเตรียมจะถกอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของผมออกมาแล้ว ถ้าไม่มีเสียงอะไรมารบกวนให้เราผละออกจากกันซะก่อน
“คุณปั๊มครับ” เสียงลุงเอกดังมาจากบันไดด้านบน พ่อบ้านของผมกำลังกระย่องกระแย่งลงมา
ดีนะ…ผมเอาเสื้อเชิ้ตกัปตันมาคลุมตัวเองทัน
แต่กัปตันนี่สิ เสื้อยืดตัวเล็กของผมไม่มีทางที่ยัดลงไปบนตัวเขาได้แน่
อย่างนี้ก็แปลว่าลุงเอกจะได้เจอกัปตันล่ะสิ แถมในสภาพกึ่งเปลือยด้วยเนี่ยนะ!!
“อ้าว คุณธีร์” ลุงเอกเพียงแค่มองอีกฝ่ายนิ่งๆ เท่านั้น ไม่ได้ตกใจหรือมีอะไรมากกว่านี้
“สวัสดีครับ”
“ถอดเสื้อแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกครับ”
“แฮะๆ” กัปตันยิ้มแห้งๆ
เดี๋ยวนะ ทำไมคุยกันปกติจังเลยวะ
“วันนี้จะนอนที่นี่หรือเปล่าครับ”
“อ้าว คุณเคยมานอนที่นี่เหรอ” คำถามนี้ผมตั้งใจให้กัปตันตอบ แต่กลับเป็นพ่อบ้านของผมเองที่ส่งเสียง
“คุณธีร์เข้ามาหาผมอยู่เสมอเลยครับ” ลุงเอกว่า “บางวันก็มาตอนค่ำแล้ว ผมก็เปิดห้องคุณปั๊มให้นอนอยู่หลายที”
“เอ๋?” ผมจ้องไปยังคนข้างๆ “จริงเหรอ”
กัปตันหลบสายตาหนีอย่างกับเด็กมีความผิด
“จริงที่สุดเลยครับ แถมยังซื้อของกินของใช้ติดไม้ติดมือมาตลอด ไม่ได้คุณธีร์ผมนี่แย่เลย” ลุงเอกยังพูดต่อ ส่วนฝ่ายที่ถูกกล่าวถึงก็ลุกลี้ลุกลนพยายามหนีหน้าอยู่ไม่สุข
“ขอบคุณนะ” ผมกระซิบเบาๆ คนข้างๆ หันมาเหล่มองพร้อมกับเม้มปากเข้าๆ ออกๆ แบบนี้สินะที่เรียกว่าเขิน
“ผมจะมาบอกคุณปั๊มว่าผมจัดที่นอนให้เรียบร้อยแล้วนะครับ”
“ขอบคุณมากครับลุงเอก”
“แล้วคุณธีร์จะค้างที่นี่มั้ยครับ ผมจะหยิบหมอนมาเพิ่มให้”
ผมไม่รอให้คนถูกถามตอบ “ได้เลยครับลุงเอก กัปตันจะค้างที่นี่”
ลุงเอกยิ้มเหมือนกำลังพอใจอะไรสักอย่าง ไม่สิ อาจจะหมายถึงสบายใจด้วย “ถ้าอย่างนั้นจัดห้องเสร็จแล้วผมจะมาเรียกอีกทีนะครับ"
หลังจากที่ลุงเอกหายลับไปแล้วผมก็กระตุกแขนกัปตันให้หันมา
“ได้ยินมั้ยเนี่ยว่าขอบคุณ”
“อื่อ ได้ยินแล้ว”
“มานอนห้องผมด้วยเนี่ยนะ?”
“ก็มันคิดถึง” กัปตันยอมมาหาผมจนได้ “มันช่วยให้นอนหลับสนิท”
“จริงสินะ ตอนแรกๆ ผมก็นอนไม่หลับเหมือนกันเลย”
กัปตันคลี่ยิ้ม “เพราะฉันคิดถึงเธอ”
“เหมือนกันเลย”
เราจูบกันอีกรอบ ในครั้งนี้ไม่มีแรงปรารถนาใดๆ มันคือความรู้สึกดีล้วนๆ ซึ่งนั่นก็แปลว่าเราทั้งคู่เรือคว่ำกลางทางเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
แต่ก็ดี ผมชอบกัปตันแสดงออกด้านอบอุ่นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“เราจะจบกันที่โซฟาแบบนี้น่ะเหรอ” ผมถามเขา
“ใครบอก มันยังมีต่ออีกยาว” กัปตันดึงเสื้อเชิ้ตไปใส่ รวมถึงส่งเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ตกอยู่ข้างๆ มาให้ผมด้วย “แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง”
“ผมจะอยู่กับคุณ”
กัปตันมองหน้าผมอย่างลึกซึ้งก่อนจะโผกอดแนบแน่น
“ฉันก็จะเป็นของเธอให้เท่าที่จะทดแทนทุกสิ่งที่เคยทำไว้”
“ถ้างั้นก็ดูแลผมด้วยนะ ทำได้ใช่มั้ย”
กัปตันยิ้มมุมปาก มองมาเหมือนกับว่าที่พูดนั่นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากเลย
“คิดว่าได้นะ”
ผมนั่งคร่อมบนตัวเขา แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากหน้าต่างทำให้ผมมองคนตรงหน้าลึกลงไปได้อีกชั้นหนึ่ง
เราสองคนจ้องกันอย่างเนิ่นนาน มองอยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่ากำลังเค้นอะไรบางอย่างจากกันและกัน ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่สำหรับผม นี่คือการเค้นความจริงใจครั้งสุดท้าย
ในเมื่อมีคนเคยบอกว่า ‘ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ’ ก็เท่ากับตอนนี้ผมเห็นเพียงแค่ความว่างเปล่าในนั้น ซึ่งนั่นก็แปลว่าไม่มีอะไรที่ผู้ชายคนนี้จะทำให้ผมเจ็บปวดอีกแล้ว นอกจากความสูญเสียที่อาจจะพรากเราสองคนสักวัน
แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งผมเจ็บกับผู้ชายคนนี้อีกครั้ง…อืม ไม่รู้สิ ผมก็คงจะทำนิสัยเดิมๆ อย่างการให้อภัยเขาเป็นครั้งที่ล้าน… เหมือนทุกครั้งที่เคยทำ
ทำไมนะ กับบางคน ความรักแม่งก็เข้าใจยากจังเลย
ในหนังสักเรื่องเคยบอกว่าความรักคืออาการวิกลจริตที่สังคมยอมรับได้
ถ้างั้นตอนนี้ผมก็คงเป็นบ้า แต่ยินดีน้อมรับมัน
แต่เอาเถอะ ในเมื่อวันนี้ผมยังไม่พบสัญญาณความเลวร้ายใดๆ
ผมจึงสบายใจที่เป็นฝ่ายจูบเขาคนแรก
เห็นทีความรักครั้งนี้จะเริ่มใหม่จาก 0 ไม่ได้
งั้นเริ่มที่ 50 เลยแล้วกัน… Love you to the Moon… and back
Fire Me to the Moon then...BURN! But it’s okay.
- FIN – - ตั้งใจจะลงสัปดาห์ต่อมาที่ลงบทที่แล้วเลยแต่คนเดือดเยอะ
และมันจบแบบนี้ ก็เลยว่าให้ไฟมอดก่อนดีกว่า แฮะๆ
ซึ่งอาจจะนานไปหน่อย ใครที่ลืมเนื้อเรื่องแล้วลองกลับไปอ่านสองสามบทสุดท้ายอีกรอบนะครับ
=============================
ใช้เวลาในเล้าเป็ด 9 เดือน 14 วันกับนิยายเรื่องนี้
ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดทางแต่ก็ยังมีปั๊มกับธีร์คอยเคียงข้าง
Fire me อาจจะไม่ใช่นิยายที่สมบูรณ์แบบที่สุด หรือสนุกที่สุด
แต่ผมใช้ความรู้สึกทุกอย่าง แฝงไปกับนิยายเรื่องนี้
หวังว่านี่จะให้อะไรมากกว่าแค่นิยายเรื่องหนึ่งครับ
สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรนอกจากขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ครับ
คุยกันได้ที่ #firemetothemoon และแวะไปทักทายกันได้ที่
https://www.facebook.com/thene0classic นะฮะ
ส่วนเรื่องใหม่ ว่าจะเขียนอะไรเบาสมองและฮะ แต่ถ้าไม่ผิดพลาดน่าจะเป็นจักรวาลเดียวกันนะ
ขอบคุณทุกคนครับ
****ขอบคุณAWสวยๆ จากเพจ 'เขาว่าผมเพ้อ' เราต่างเป็นแฟนคลับกันและกันเมื่อนานมากแล้ว
เจอกัน