Fire Me to the Moon • EP.25 Love you to the moon (ENDING) | 19/08/2017 (หน้า 7)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Fire Me to the Moon • EP.25 Love you to the moon (ENDING) | 19/08/2017 (หน้า 7)  (อ่าน 108493 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
รักแล้ว

จะยอมปล่อยความรักไปเหรอ

ทำไมไม่สู้อีกครั้งกัปตัน


ออฟไลน์ Hamzholic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-2
เราเห็นด้วยนะ ถ้ากัปตันรักปั๊ม ก็ปล่อยปั๊มไปเถอะ
รู้นะว่ารักกัน แต่ในความคิดเรา บางทีความรักมันไม่พออะ
หรือถ้าจะรักกันจริงๆ เราว่ามันคงต้องใช้เวลากว่านี้
มันต้องรื้อสร้าง ต้องเริ่มต้นใหม่ แบบไม่มีอะไรแอบแฝงจริงๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงจะดีขึ้นได้

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตามอ่านถึงตอนล่าสุดเลย
สนุก ผลิกมากเลย เดาตอนแรกก็ว่าเป็นเพชร แต่ไปๆมาดันมีพระเอกมาร่วมด้วย เรื่องราวซับซ้อนจริงๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ kail

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
หยุดอ่านไปนาน วันนี้กลับมาไล่อ่านตั้งแต่ตอนแรก จนถึงตอนนี้มันพูดอะไรไม่ออก มันอึ้งอะ คือพออ่านรวดเดียวนี่มันหลากอารมณ์มาก ตอนนี้ยังตื้อๆอยู่เลย แต่ก็อยากมห้กัปตันปล่อยปั๊มไป นั่นดีที่สุดในตอนนี้แล้ว มันไม่สายถ้าจะมาเริ่มต้นใหม่เมื่อพร้อม แต่ตอนนี้มันไม่ไหวจริงๆ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเกินกว่าจะทน

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
Fire Me to the Moon • EP.24 ฬ | 14/07/2017 (หน้า 7)
«ตอบ #187 เมื่อ14-07-2017 22:52:41 »

24





บันทึกการบินของกัปตันธีร์

   
   ชีวิตผมเป็นหนี้บุญคุณครั้งใหญ่หลวงกับผู้หญิงสองคน

   คนแรกคือแม่ รักที่ไม่มีเงื่อนไข เราสองคนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาบ้าง ตั้งแต่ที่พ่อจากไป ผมรู้ดีว่าแม่จะไม่เหมือนเดิม ซึ่งนั่นไม่ใช่ความผิดเธอ เพราะฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะคอยดูแลและเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ ผมไม่เคยเกี่ยง รักของแม่ยังมีค่ากับผมเสมอมา

   อีกคนคือคุณพลอย ภรรยาของคุณวินัย เธอเป็นคนที่เห็นค่าเด็กด้อยโอกาสอย่างผม และส่งเสียให้ทำในสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด และนั่นทำให้ผมรัก ‘เพชร’ ลูกชายของเธอเหมือนน้องชายแท้ๆ แม้เขาจะไม่เคยชอบหน้าผมเลยก็ตาม

   หลังจากที่คุณพลอยจากไป สิ่งที่ผมเสียใจมากกว่าการสูญเสียนั่นคือการที่ไม่ได้มีโอกาสทดแทนบุญคุณ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมยอมเพชรในทุกเรื่อง เพราะผมรู้ว่าเขารู้สึกแย่มาตลอดที่แม่ของเขาใส่ใจผมเป็นพิเศษ

   แต่กับบ้านหลังนั้น…ผมเคยสาบานแล้วว่าจะไม่ไปเหยียบมันอีกครั้ง ความสะเทือนใจในครั้งนั้นทำให้แม่มีปัญหามาจนถึงวันนี้

   มันจึงเป็นฝันร้าย ที่ผมกับแม่จะไม่มีวันลืม

   เพราะอย่างนั้น เมื่อเพชรพูดถึงแผนการทำลายครอบครัวนั้นให้ย่อยยับพร้อมกับการอ้างบุญคุณของแม่

   นั่นจึงทำให้ผมตอบตกลงเข้าร่วมด้วย

   แต่ว่าไม่นาน มีข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์ของสองผัวเมียใจร้ายนั่นซะก่อน

   ผมตกใจมากและหวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิด

   [กูไม่ได้ทำ ตอนนี้อยู่ภูเก็ต] เสียงเพชรนั้นพูดแข่งกับจังหวะดนตรี

   แม้ในใจลึกๆ จะกังวล แต่ผมพยายามคิดว่าเพชรพูดความจริง มันคงไม่ได้เย็นชาขนาดนั้น ในตัวเด็กก้าวร้าว มันต้องมีด้านดีหลงเหลืออยู่บ้างสิ




========================



   “ผมไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง แต่ผมเสียใจด้วย ขอให้คุณทั้งคู่ไปสู่สุขติ” ผมยืนพูดอยู่หน้าหลุมศพของสามีภรรยาเจ้าของกิจการสายการบิน ในวันที่ผมได้กลับมาเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้อีกครั้ง

   ผมมองเขาทั้งสองด้วยความว่างเปล่า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลานี้ถึงไม่โกรธใครอีกแล้ว

   หรือบางทีที่ผมอาจจะมีความรู้สึกอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจแทน กับเด็กคนนั้น… ทั้งสงสารและอยากปกป้อง ผมคิดเสมอว่าอย่าไปให้ค่ากับคนตายเลย สนใจคนที่อยู่อย่างเป็นทุกข์ดีกว่า

   และคนที่เป็นทุกข์ตอนนี้ คือคนที่แอบมองผมอยู่หลังม่านด้านบนนั้น ซึ่งคิดว่ามันคงจะเป็นห้องนอนขอเขา

   ทำยังไงถึงจะได้ขึ้นไปบนนั้นนะ




========================


   เราสามารถรักคนที่ไม่คิดว่าตัวเองจะรักได้หรือเปล่าครับ?

   ผมเก่งมากที่ทำให้ปั๊มรักผมได้ และนั่นมันคงสมใจเพชรแน่นอน และมันคงจะกู่ไม่กลับอีกแล้ว นี่เป็นมากกว่าการเล่นสนุกแน่นอน แต่เมื่อรู้สึกว่ายิ่งรักปั๊มมากเท่าไหร่ ผมก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้อีกต่อไป ผมเหมือนโจรที่กำลังรักตำรวจ มันไม่ถูกต้องและทำให้สับสน

   ผมถือดอกกุหลาบสีขาวและกล่องข้าวที่ทำมาเองไว้ในมือ ยืนมองแม่ที่กำลังเล่นกับเชือกฟางสีแดงซึ่งไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน แม่ทำอย่างกับเด็กไฮเปอร์ไปได้ เห็นแล้วถึงกับต้องส่ายหัว

   “กินข้าวเช้าไปหรือยังครับแม่” ผมถามพร้อมกับสอดตัวไปนั่งที่ม้าหินฝั่งตรงข้าม

   แม่เงยหน้ามองผมเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า ทว่าในมือยังคงเล่นเชือกฟางต่อไป

   “อร่อยมั้ย”

   แม่พยักหน้าอีกรอบ

   “แล้วอยากกินข้าวเที่ยงหรือยัง”

   แม่พยักหน้า แต่คราวนี้พูดด้วย

   “รอกินด้วยกันเนี่ย”

   ผมจุกในคอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

   “วันนี้มีแต่ของไม่เผ็ดนะ ไม่รู้แม่จะชอบหรือเปล่า”

   “ชอบหมดแหละ”

   ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทำไมวันนี้แม่ผิดปกติ หรือเขาให้กินยาดีเกินไป

   “น่ารักมากครับ” ผมได้แต่พูดอย่างนั้นออกไป เก็บความคลางแคลงใจเอาไว้

   “ขอโทษนะลูก…”

   ผมสะดุดใจอีกรอบ คราวนี้ผมเงยหน้าจ้องตาแม่อย่างจริงจัง

   “แม่โอเคหรือเปล่าครับ”

   แต่เหมือนแม่จะไม่ได้สนใจคำนั้น

   “รู้ว่าแย่” แม่ชี้ที่ตัวเอง “แย่...”

   “ใจเย็นๆ นะแม่” ผมคว้ามือเธอมาจับให้แน่นที่สุด “ค่อยๆ พูด”

   แต่อยู่ๆ เหมือนแม่จะเก็บความอัดอั้นอะไรต่างๆ ไว้ไม่อยู่ เธอระเบิดร้องไห้ออกมาอย่างกับเด็กๆ จนผมต้องรีบไปนั่งข้างๆ เพื่อคว้ามากอดไว้

   “เป็นอะไรครับ”

   “เครียด”

   “แม่เครียดอะไรไหนบอกมาสิ”

   “ดูแลใครไม่ได้เลย”

   “หืม?” ผมเขยิบออกมามองหน้าแม่ให้ชัดๆ เส้นเลือดที่หน้าผากของเธอปูดแทบจะระเบิดออกมา

   “วันนี้พยาบาลบอกว่า” แม่พยายามพูดช้าๆ “รักใครให้ดูแลกันดีๆ”

   “ทำไมพยาบาลถึงพูดแบบนั้นล่ะ”

   “ตอนเรียนหนังสือ”

   จริงๆ มันไม่ใช่การเรียนหรอกครับ แต่ผมรู้มาบ้างว่าจะมีกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดต่างๆ ให้คนป่วยได้ผ่อนคลาย ส่วนหนึ่งคือการดูหนัง การพูดคุยกันระหว่างคนไข้กับหมอ และกิจกรรมที่สร้างมาให้คนไข้ได้เล่นร่วมกัน

   วันนี้คงจะมีอะไรจี้จุดแม่แน่ๆ เลย

   “แล้วแม่ร้องไห้ทำไม”

   “ก็เนี่ย” แม่ใช้นิ้วชี้จิ้มที่อกผมแรงๆ ก่อนจะชี้กลับไปที่ตัวเอง “ดูแลไม่ได้เลย”

   แม่กำลังบอกผมว่าตัวเองดูแลลูกไม่ได้งั้นเหรอ?

   “อะไรกัน แม่ดูแลผมดีจะตาย”

   “ไม่จริง” เธอส่ายหัวพร้อมกับร้องไห้

   “ฟังนะ” เหมือนแม่พยายามต่อสู้กับอารมณ์แปรปรวนของตัวเอง “อีกไม่นานก็ตาย”

   “ใครตายครับ?” ใจคอไม่ดีเลยแฮะ

   แม่ชี้ที่ตัวเองอีกครั้ง

   “พูดอะไรอย่างนั้น แม่ยังไม่ตายหรอก”

   “ตาย! ยังไงก็ต้องตาย!” แม่ระเบิดจนได้ พร้อมกับถอยกรูดออกห่างไป

   “ใจเย็นๆ นะครับ ไหนลองพูดกันดีๆ สิ” ผมพยายามใจดีสู้ ดึงแขนแม่กลับมาที่เดิมอีกครั้ง

   “ไม่นานแม่ก็ตาย” เสียงนั้นสั่นเครือ “อย่าเศร้านะ”

   “…”

   “ที่แม่เสียใจที่สุดคือ แม่เป็นแบบนี้และไม่มีเวลาดูแลลูก”

   “…”

   “ถ้าลูกรักใคร ดูแลเขาให้ดีนะ”

   “แม่…”

   “รักและอย่าทอดทิ้ง” คราวนี้แม่เอามือมาจับที่แก้มผม น้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มนั้นแทบจะทำให้คนฟังอย่างผมสะเทือนใจตามเลย

   แต่ผมก็ยิ้มสู้

   “ไปจำมาจากละครเรื่องไหนเนี่ย” ผมยิ้ม “เดี๋ยวผมจะบอกพยาบาลไม่ให้แม่ดูทีวีแล้ว”

   “และอย่าโกรธใคร” เธอยังคงพูดต่อ “ให้อภัยกันเถอะนะ”

   ผมไม่รู้ว่าที่เห็นตรงหน้าที่คืออะไร แต่นี่คือแม่ที่ผมรู้จักตั้งแต่วัยเยา แม่ที่คอยเลี้ยงและสั่งสอนผมมาตลอด นาทีที่ผ่านมาเหมือนผมได้บุพการีตัวเองคืนยังไงยังงั้น

   “กินข้าวเถอะ” ผมเปิดกล่องข้าวให้

   แม่กลายเป็นผู้ป่วยอีกครั้ง ตาลุกวาวกับข้าวผัดปูตรงหน้าและไม่สนใจผมอีกต่อไป

   ขณะที่แม่จับช้อนและกินอย่างอิ่มหนำสำราญ ผมกลับนิ่งและนึกถึงสิ่งที่แม่เพิ่งพูด ถึงแม้ถ้าพูดกันตรงๆ แล้ว มันคือคำพูดจากคนบ้าก็เถอะ

   “ผมกำลังรักอยู่ครับแม่” ผมพูด ขณะอีกฝ่ายเอาหูทวนลมเพราะสนใจแต่ข้าวตรงหน้า “งั้นผมต้องดูแลเขาสินะ”

   แม้จะไม่ได้คำตอบแต่ผมเหมือนได้คิดกับตัวเอง

   บางทีอาจจะต้องล้มโต๊ะเกมนี้ และเป็นตัวละครที่หักหลังดูบ้าง ผมจะเลือกปั๊ม และไม่มีการสนบุญคุณและคำสั่งบ้าๆ บอๆ จากเพชรอีกต่อไป

   ความรักมันก็คือการเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ

   ผมน้อมรับคำสั่งสอนจากคนบ้าที่อาจจะพูดจาเพี้ยนๆ ไม่มีที่มาที่ไป แต่เธอเป็นแม่ผม ผมเลือกที่จะเชื่อ

ทุกอย่างเปลี่ยนไปทันทีหลังจากวันนั้น





   ผมยืนอยู่ริมระเบียงคอนโดของตัวเอง ทอดสายตามองจราจรบนท้องถนนในวันที่กรุงเทพยังน่าเบื่อเหมือนเคย แม้จะโดนพักงานแต่ผมเลือกจะตื่นแต่เช้าตรู่

   เพราะอะไรน่ะเหรอครับ?

   ปั๊มปลอดภัย แน่นอนครับว่าผมสบายใจขึ้นเยอะ

   แต่มันก็มีเรื่องเศร้าในคราวเดียวกัน

   เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ปั๊มจะยืนอยู่แผ่นดินเดียวกับผม

   เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบริษัทเฟิร์สแอร์กลายเป็นข้าวดังหลายสัปดาห์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผมยังแปลกใจที่ปั๊มไม่คิดจะขายมันให้กับคนอื่น มีการใช้ทนายและฟ้องร้องในหลายๆ เรื่องซึ่งมันก็สมควร เก้าอี้บริหารจะตกเป็นของหุ้นส่วนอันดับสามซึ่งจะทำหน้าที่แทนจนกว่าปั๊มจะกลับมาใหม่หลังจากที่เรียนจบแล้ว

   ผมดีใจที่เขาจะออกไปจากที่นี่สักที ที่นี่ไม่มีอะไรให้เขาแล้ว ผมก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอีกต่อไป

   ตืดดดดด!

   ผมล้วงโทรศัพท์ที่สั่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง มีข้อความเพิ่งส่งเข้ามา และเมื่ออ่านมันทำให้หลุดยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผล

   ‘คุณปั๊มจะบินกลับเที่ยงตรง
   ผมอยากบอกพี่ธีร์ไว้ครับ’

   
   คงจริงอย่างที่ปั๊มเคยพูด ตรองเป็นเลขาจอมหักหลัง ถ้าปั๊มอยู่ข้างๆ และชะโงกเข้ามาที่หน้าจอคงจะบ่นว่าอย่าลืมเตือนให้หาเลขาใหม่ด้วย

   ผมคิดถึงบรรยากาศนั้นจัง

   แต่ผมเลือกแล้ว

   
   ‘ฝากบอกลาด้วยแล้วกัน
   ขอบคุณครับ’



   ผมจะไม่ไปให้เขาเห็นหน้าอีก ถ้าปั๊มมีบาดแผลใหญ่ในใจ ผมคือคนทำมัน เราจะยังคงจับมืดไว้ถ้ามันบาดมือเราได้เหรอ ผมจะทำสิ่งที่ควรทำ ถ้าปั๊มเลือกที่จับมีดไว้ ผมจะเป็นมีดที่กระโดดออกไปจากมือเขาเอง

   “ลาก่อนปั๊ม” ผมพูดกับลมฟ้าอากาศ หึ เขาจะไปรู้ได้ไงวะไอ้โง่เอ๊ย

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง

   สภาพที่นี่ยังเหมือนเดิมแม้ไม่ได้มาอยู่นานแล้ว มีจดหมายหลายฉบับมัดรวมกันไว้ถูกส่งมาจากนิติบุคคล รวมถึงกองพัสดุมากมายที่อยู่ข้างๆ ชั้นวางรองเท้าซึ่งผมไปรับมาจากสาวน้อยช่างพูดจากเคาท์เตอร์แลกบัตรข้างล่าง เธอยังถามถึงปั๊มอยู่เลย ถามไถ่กันว่าตอนนี้ยังทะเลาะกันอยู่อีกมั้ย ผมได้แต่ยิ้มและกล่าวขอบคุณ เลือกที่จะเดินหนีดีกว่า

   ผมตั้งใจจะเช็คจดหมายและพัสดุทุกชิ้นเป็นการกลบความฟุ้งซ่านของตัวเอง ผมลุกไปหยิบคัตเตอร์แล้วกลับมานั่งขัดสมาธิตั้งใจดูทีละกล่อง

   ผมใช้เวลากับมันไปนานมาก เสียงคัทเตอร์กรีดกระดาษดังแล้วดังอีก ส่วนมากเป็นเอกสารชี้แจงสำคัญๆ รวมถึงประกาศจากทางสำนักงานบิน ผมพยายามโยนมันทิ้งไปไกลๆ เพราะนอกเหนือจากเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ความล้มเหลวในอาชีพการงานก็เป็นอีกเรื่องที่ผมเศร้าไม่ใช่น้อย แต่ทว่าจดหมายที่มีตราประทับพวกนั้นมันเยอะเหลือเกิน ผมจึงยอมแพ้และหันมาหยิบกล่องพัสดุแทนดีกว่า

   กล่องแรกในมือมันช่างคุ้นตาผมเหลือเกิน ขณะที่ลูบไล้ไปยังเนื้อกระดาษแข็งสีน้ำตาลอ่อน ใจผมก็รู้สึกหวิวขึ้นมา เลยตัดสินใจว่าจะหยิบกล่องอื่น แต่…

   ผมว่ามันคงกำลังอยากให้เปิดดูข้างใน

   ผมกรีดคัตเตอร์จากนั้นก็แกะฝากล่องมันออกมา

   ข้างในนั้นคือหน้ากากสไปเดอร์แมนที่ผมเคยให้เขา

   ขณะที่ผมชะงักไป ภาพในอดีตกลับมาให้เห็นอีกครั้ง


   ขณะที่ผมกำลังวุ่นอยู่กับการช่วยแม่บริการแขกในวันทำงานวันแรกของเธอ เด็กคนหนึ่งกำลังเล่นเสียงดังอยู่ที่มุมห้อง ผมกลัวว่าคนอื่นๆ จะรำคาญก็เลยตั้งใจว่าจะเข้าไปห้าม แต่พอมองไปที่รองเท้าผ้าใบซึ่งเชือกหลุดลุ่ยแบบนั้นแล้ว ผมกลับเป็นห่วงขึ้นมาแทน

   “เชือกรองเท้าหลุดนะสไปเดอร์แมน” ผมพูดอยู่เหนือหัวเด็กที่ตัวเล็กกว่า เขาน่าเอ็นดูจนวัยรุ่นเกลียดเด็กอย่างผมใจอ่อนได้ยังไงนะ

   เด็กชายคนนั้นยกหน้ากากเผยใบหน้าตัวเองและมอบรอยยิ้มมาให้

   “ขอบคุณครับ” เด็กน้อยตะโกนแข่งกับเสียงเพลง   

   “เรียบร้อย!” ผมลุกขึ้นมายืนเหนือกว่าอีกครั้งพร้อมกับชี้นิ้ว “อย่าทำหลุดอีกล่ะอุตส่าห์ผูกให้แน่นแล้ว เดี๋ยวเราน้อยใจ”

   “พี่ใจดีจังเลยฮะ” เด็กน้อยฉีกยิ้ม ยิ้มแบบจริงใจกว่าตอนแรก

   ผมจัดหน้ากากให้เหมาะสม จากนั้นก็ใช้มือลูบไปยังศีรษะของเจ้าของ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมชักมือออกกะทันหัน ไม่รู้ว่าเด็กสังเกตเห็นมั้ย

   “สวัสดีปีใหม่นะ” ผมพูดแก้เก้อกับความเก้ๆ กังๆ ของตัวเอง

   “สวัสดีปีใหม่ครับ” เด็กน้อยพูดบ้าง

ขณะที่เรายิ้มให้กัน ผมเริ่มมีความคิดอะไรบางอย่าง ผมชักเบื่อกับงานนี้แล้ว

   “หิวมั้ย” ผมถาม

   “ผมอยากกินน้ำอัดลม” ตอนแรกเด็กคนนั้นแววตาเป็นประกาย แต่ก็กลับหงอยลงไปอย่างดื้อๆ “แม่ไม่ให้ผมกิน”

   “งั้น…” ผมมองซ้ายมองขวา อืม… คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงไม่ได้อยู่แถวนี้ “เดี๋ยวพี่หาให้กิน”

   “หา!?” นายน้อยของบ้านตกใจ “จริงเหรอฮะ”

   “จริง แต่เราต้องแอบไปนะ เดี๋ยวปีศาจร้ายจะมาขัดขวางได้!” ผมทำเป็นอินกับการเล่นให้สมกับหน้ากากที่น้องใส่ พร้อมทั้งยื่นมือออกไปโดยเด็กน้อยไม่ลังเลเลยที่จะจับมันไว้แน่น

   “ไปเลยครับ!”

   


   “หึ” ผมเค้นหัวเราะให้กับตัวเองเมื่อนึกถึงวันนั้น สุดท้ายแม่ก็จับได้อยู่ดี ผมโดนตีเละเลย

   แต่…นั่นเป็นครั้งแรกที่การผจญภัยครั้งแรกของเราเริ่มต้นขึ้น

   ถึงนี่จะไม่ใช่หน้ากากอันเดิมที่ปั๊มเคยใส่ แต่ผมตั้งใจจะทำให้เขาจำได้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

   ผมหยิบมัรนั้นขึ้นมาและพบว่าในกล่องยังมีรูปโพราลอยอีก ในภาพเป็นผมเองกำลังยิ้มแฉ่งกับอยู่ในห้องขับ จำได้ว่าวันนั้นผมดุที่นักบินผู้ช่วยมัวแต่ถ่ายรูป แต่พอเห็นเขามีกล้องโพราลอยเท่านั้นแหละ ผมกลับแอ็คท่าให้เขาถ่ายเฉย เพื่อจะส่งมันมาขอโทษปั๊มถึงเรื่องที่ทำไป

   ผมมองลงไปยังกระดาษเล็กๆ ที่แนบมาด้วยซึ่งมันเป็นลายมือผมเอง แต่มีการขีดฆ่านิดหน่อย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าฝีมือใคร


   เธอคงรู้เรื่องมิ้นแล้ว เรื่องนี้เธอไม่ผิด เขาตัดสินใจไปเอง…
   แต่ฉันส่งของมาให้เพราะอยากให้จริงๆ ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้ตอบแทนเรื่องเนกไทที่เธอขว้างใส่หัว
   จะบอกให้ หลังๆ มานี้มันเป็นเส้นโปรดของฉันเลย



   เฮ้อ ไปต่อไม่ถูก ไม่รู้จะทำอะไรต่อเลยฮะ

   ผมตั้งใจจะวางกระดาษกับรูปกลับไปที่เดิม ทว่าผมกลับเห็นอะไรบางอย่างแปะอยู่หลังรูป มันเป็นกระดาษสีครีมที่มีลายมือใครสักคนที่ไม่ใช่ผม ดูท่าแล้วจะเป็นข้อความใหม่


   ‘วันนี้ผมเข้าออฟฟิศเพราะจะมาเก็บของ
   แต่กลับเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในกล่องนี้เปลี่ยนไปจากครั้งแรก
   คุณบอกใบ้ผมมาตั้งแต่แรกสินะ…



   ปั๊มเพิ่งจะรู้… ไม่เป็นไร ผมเข้าใจอยู่แล้ว


   ขอบคุณที่ผูกเชือกรองเท้าให้
   - ปั๊ม’



   ผมน้ำตารื้นขึ้นมาทันที ทิ้งของทุกอย่างกลับเข้ากล่องพร้อมกับเอนตัวนอนราบลงข้างๆ กองจดหมายพวกนั้นประดุจคนยอมแพ้

   เอาน่า อย่างน้อยในที่สุดเขาก็ได้รู้ทุกอย่างได้สมบูรณ์แล้ว…

   …รู้ว่านอกจากเรื่องราวบ้าๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น สิ่งที่ผมรู้สึกกับเขาแท้จริงมันคือรักแรกพบ เพราะผมเห็นเขาในสายตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าไง

   ผมหลับตา ปล่อยให้ทุกสิ่งไหลผ่านไปท่ามกลางเสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาที่ดังวนอยู่ในหู

[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
Fire Me to the Moon • EP.24 ฬ | 14/07/2017 (หน้า 7)
«ตอบ #188 เมื่อ14-07-2017 22:58:04 »



   ผมอยู่หน้าหลุมศพพ่อแม่ขณะลมที่พัดแรงทำให้แทบจะปลิว ดูท่าฝนจะตกสินะ

   ป๊าครับ แม่ครับ ถึงเวลาต้องจากกันอีกครั้ง

   “ขอนั่งบนเก้าอี้นะครับ ปั๊มยังเจ็บท้องไม่หายเลย” ผมลูบไปยังจุดที่ยังปวดเพราะโดนเตะก่อนหน้านี้“ปั๊มมาลานะครับ เพราะกว่าจะกลับก็อีกนานเลย”

   แต่การสนทนากับคนตายมันก็เหมือนการพูดคนเดียว

   “ผมรู้นะว่าในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และมันก็เห็นแล้วว่าสิ่งที่ป๊ากับแม่ทำไว้มันเกิดผลอะไรบ้าง

   ผมเคยโกรธสิ่งที่เกิดขึ้นและเคยโทษว่ามันเป็นความผิดของป๊ากับแม่ที่รักผมไม่ดีพอ แต่ไม่ใช่ มันเป็นเพราะผมไม่มีวุฒิภาวะเอกต่างหาก ปั๊มอาจจะไม่รักดีเองถึงไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร ไม่คิดจะโทษใครเลย

   แต่ป๊ากับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถึงเรื่องอีกด้านจะเปิดเผยออกมา ผมจะไม่มีทางผิดหวังและรังเกียจครอบครัวของเราเลย และผมอยากบอกป๊ากับแม่ว่าไม่เป็นไร ปั๊มเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถแก้ไขได้ ผมรู้ว่าทุกสิ่งที่ป๊ากับแม่ทำก็เพื่อผมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผมจะไม่ขายของใดๆ ที่เป็นของเราไปให้คนอื่น ผมจะกลับมาเมื่อพร้อม และจะแสดงให้เห็นว่าตระกูลเราก็ยังมีความดี ผมจะจำภาพป๊ากับแม่ใบแบบที่มันควรเป็นไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง ป๊ากับแม่ยังเก่งและใจดีตลอดไปครับ

   พ่อแม่คือพระเจ้าในสายตาลูกเสมอ”

   ผมกอดตัวเองบนเก้าอี้พร้อมกับสะอึกสะอื้นในขณะที่ฝนเริ่มตกโปรยปราย

   สุดท้ายก็มีแค่เรา ทุกๆ อย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเองจริงๆ สินะ

   ผมจะใช้สายฝนในวันนี้เพื่อชำระล้างบาดแผลทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น และเมื่อพรุ่งนี้มาถึง เราจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง




   “ไม่ลืมยาที่ต้องใช้นะครับคุณปั๊ม” ลุงเอกเดินเข้ามาจัดเสื้อคลุมของผมให้เข้าที่

   “ไม่ลืมน่า” ผมพูดอย่างเนือยๆ เพราะความง่วง วันนี้ตื่นตั้งแต่เช้าเลยครับ

   “ติดต่อกลับมาบ้างนะครับ” เสียงลุงเอกเปลี่ยนไป ผมเห็นว่าเขาตั้งท่าจะร้องไห้

   “โอ๊ยยย ไม่เอาน่า” ผมเขย่าไหล่ลุงเอก ไม่รู้จะปลอบใจคนแก่ยังไงอะ “เดี๋ยวเรียนจบก็กลับมาแล้ว”

   “ปกติคุณปั๊มกลับมาทุกเทอม แต่นี่ผมต้องรออีกเป็นปีๆ”

   “เราคุยกันแล้วนะลุงเอก”

   “ผมรู้ว่าผมแนะนำคุณปั๊มแบบนั้นเอง แต่มันก็ใจหาย”

   “เหมือนกัน” ผมโผเข้าไปกอดพ่อบ้านในที่สุด “ดูแลตัวเองด้วย ไม่ต้องรอให้ผมติดต่อไป โทรมาหาก่อนบ้างก็ได้นะ”

   “ดูแลตัวเองด้วยเช่นกันครับคุณปั๊ม” ลุงเอกถอยออกไปยืนสงบเสงี่ยมเหมือนทุกทีที่เคยเป็น ผมรู้ว่าเขากำลังพยายามข่มอารมณ์อยู่แน่นอน

    “ไงมึง” ไอ้ไวน์เดินเข้ามาหาบ้าง “ไว้กูแอบย่องไปกินเบียร์ที่หอมึงเหมือนแต่ก่อนอีกนะ สนุกดี”

   “มึงบอกลาได้ซึ้งแค่นี้เหรอวะ” ผมเอียงคอ “มานี่!”

   ผมลากมันเข้ามากอดได้สำเร็จ ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันกลายเป็นผมกำลังซบไหล่มันอยู่ซะนี่

   “ขอโทษนะ” เสียงนั้นหลุดออกมาจากคนตัวสูง

   “ขอโทษอะไรวะ?” ผมผละออกจากกอดพร้อมทำหน้าสงสัย

   “ไม่รู้เหมือนกัน พอเห็นมึงเป็นแบบนี้แล้วกูแย่ว่ะ นี่ล่ะมั้งที่เขาว่ามันคือความทุกข์ของคนเป็นเพื่อน”

   “มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลยไวน์” ผมบอกมันอย่างจริงจัง แต่ประโยคต่อไปมันเกือบทำให้ผมร้อง “ก็กูมีมึงเป็นเพื่อนคนเดียวนี่”

   เราสองคนกอดกันอีกรอบ ครั้งนี้แน่นกว่าเดิม

   “รีบกลับมาล่ะ”

   “มึงก็อย่าลืมไปเรียนนะ เดี๋ยวป๊ามึงด่าเอา”

   หลังจากที่แยกกับไวน์ไป ผมรอให้ตรองทำซึ้งบ้าง แต่ทว่าคนนั้นยังพิมพ์อะไรยุกยิกกับมือถือตัวเองอยู่เลย จนเป็นผมที่ต้องเข้าไปหาเอง

   “ทำอะไรอะ” ผมชะโชกไปที่หน้าจอ

   “โอนถ่ายพวกข้อมูลสำคัญนิดหน่อยครับ”

   “ทำงานเหรอ?” ผมขมวดคิ้วถาม อะไรของเขาวะเนี่ย

   “ครับ…” ตรองเงยหน้ามอง

   “โอเค เรายังเป็นเจ้านายลูกน้องกันได้อีกประมาณสิบนาที” ผมกอดอกและตั้งท่าจริงจัง “ถ้าฉันสั่งอะไรสามารถทำให้ได้ใช่มั้ย”

   “ครับ” ตรองรับปากแม้สีหน้าจะลังเล

   “ลาออกเถอะ”

   “…”

   “ไปใช้ชีวิตของตัวเอง บอกตรงๆ ว่าก็ไม่เคยเห็นใครเก่งและทุ่มเทขนาดนี้ มันไปได้ไกล คนเรามันจะยังอยู่ที่เดิมนานๆ ไม่ได้ และฉันไม่ได้อยากกลับมาแล้วเห็นแกยังเป็นเลขา ฉันอยากให้แกไปได้ไกลกว่านั้น”

   “…”

   “เพราะสำหรับฉัน… ไม่สิ เพราะสำคัญปั๊ม พี่ตรองคือพี่ ไม่ใช่ลูกน้องอีกต่อไปแล้ว”

   “คุณปั๊ม…”

   “พี่ต้องเชื่อปั๊มนะ” ผมเดินเข้าใกล้อดีตมากขึ้น “ถือว่านี่เป็นคำสั่งครั้งสุดท้ายแล้วกัน”

   “ได้ครับ และก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” ตรองเหมือนชั่งใจอยู่ว่าจะทำอะไรต่อ แต่ในที่สุดก็พูดออกมา “ผมก็เห็นคุณปั๊มเป็นน้องที่ผมรักมากเหมือนกัน และน้องคนนี้โตแล้ว”

   “ขอโทษที่ใช้คำหยาบด้วยตลอดแต่อยู่ดีๆ วันนี้มาเรียกพี่” ผมพูดติดตลก

   “นั่นสิครับ ผมยอมให้คุณปั๊มด่าเหมือนแต่ก่อนดีกว่า”

   “มากอดหน่อย” เราทั้งสองกอดกันอย่างเกร็งๆ ด้วยความเก้อเขิน มันเป็นครั้งแรกที่เรากอดกันจริงๆ จังๆ และไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้านายกับลูกน้องอีกต่อไป

   “อย่าให้ใครมาทำร้ายเราได้อีกนะครับคุณปั๊ม”

   “แน่นอน” ผมตบคำรับปาก

   แล้วผมก็ยืนนิ่ง เหมือนกำลังรอ… รออย่างไม่เหตุผล และไม่รู้ว่ารออะไร ผมกวาดสายตาทั่วและก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า ‘เขาไม่มา'

   เราสี่คนบอกลากันอีกนิดหน่อยจนได้เวลาอันสมควรแล้วผมจึงขอแยกออกไป ไม่อยากให้พวกเขายืนรอส่งเดี๋ยวหันไปแล้วน้ำตาจะไหลพาลไม่อยากไปขึ้นมา

   “ขอดูตั๋วหน่อยค่ะ” เสียงใสๆ ของพนักงานสาวพูดกับทุกคนที่ต่อคิว ผมทำตามที่ขออย่างว่าง่าย และเมื่อแสกนบาร์โค้ดกันเสร็จแล้ว ผมก็ขึ้นบันไดเลื่อนไป

   ด้วยเวลาที่ยังมีเหลือผมเลยไม่อยากรีบ ผมหลีกทางให้คนด้านหลังเดินนำออกไปก่อนอย่างไม่หงุดหงิด จัดการกระชับเป้และกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กให้มั่น และตั้งใจจะหันกลับไปมองด้านล่างเป็นครั้งสุดท้าย

   ผู้คนรอเช็คอินคนแน่นขนัด สมแล้วที่เป็นท่าอากาศยานที่คึกคักอันดับต้นๆ ของโลก ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ ทุกคนต่างดีใจที่จะได้เดินทาง ไม่ว่าเขาจะได้ไปเที่ยวหรือไปทำงาน แต่ได้เดินทางแค่คิดก็สนุกแล้วไม่ใช่เหรอ

   ผมกวาดสายตาหาพวกเพื่อนๆ ที่มาส่ง แต่พวกนั้นไม่อยู่แล้ว แปลว่าพวกเขาทำตามที่ผมขอ ซึ่งนั่นก็ดี ผมไม่อยากเศร้าหวิวๆ ในใจเท่าไหร่

   แต่…

   ผมกลับเห็นใครคนหนึ่ง

   ยืนอยู่ข้างๆ ป้ายแอลอีดีบอกสถานะเที่ยวบินขนาดใหญ่ เขาสวมแจ็คเก็ตสีดำทับเสื้อยืดสีขาว ท่อนล่างสวมกางเกงยีนสีฟอก ทว่า…เขากลับใส่หน้ากากพลาสติกรูปสไปเดอร์แมน

   ผมให้คนอื่นๆ เดินนำไปก่อนและเลือกที่จะมองลงไปด้านล่างที่ระเบียงชั้นสอง ผมจ้องเขาไม่วางตา ท่ามกลางคนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาซึ่งเห็นแล้วหัวเราะร่า เขากลับเงยหน้ามาทางผม

   ใจผมเต้นแรงขณะที่ร่างกายแข็งทื่อจนต้องยืนนิ่ง เราสองคนจ้องกันและกันอย่างกับกำลังรอคนใดคนหนึ่งเป็นฝ่ายเริ่มอะไรสักอย่าง

   และแล้วก็เป็นอีกฝ่ายที่ยอมแพ้ เขาเปิดหน้ากากสไปเดอร์ออกและดึงขึ้นไปไว้บนหัว กัปตันธีร์ยิ้มออกมาเหมือนคนเหนื่อยอ่อน แต่ทว่าผมกลับรู้สึกถึงความดีใจกับอะไรบางอย่างภายใต้รอยยิ้มนั้น

   กัปตันยกมือขึ้นมาหนึ่งข้างและโบกมาให้ และผมรู้ได้ทันทีว่านี่คือการบอกลาครั้งสุดท้าย

   แต่มันคล้ายกับครั้งแรกที่เราเจอกัน

   ผมเผยอปากเตรียมจะตะโกนออกไปแต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้ทันเพราะนึกขึ้นได้ว่าเขาก็ไม่เห็นจะพูดอะไรนี่นา การเลือกจะบอกลากันอย่างนี้ก็สมควรแล้ว ห้ามพูดอะไรให้คลางแคลงใจกันอีกเป็นดีที่สุด

   ผมมองหน้าเขาด้วยหลากอารมณ์ ทั้งความโกรธ ความคิดถึง ผมสามารถกระโดดไปชกหน้าเขาแต่ก็สามารถขอบคุณสำหรับทุกอย่างได้ไปพร้อมกัน แต่นั่นแหละ มันก็ได้แค่คิด ผมแค่พยักหน้าให้ เป็นอันรู้กันว่าผมเข้าใจในทุกๆ อย่าง เราทั้งสองคนโลมเลียกันด้วยสายตาท่ามกลางคนนับร้อยที่ไม่ได้รู้เรื่องด้วย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นก็เต็มไปด้วยอารมณ์มากมายเหมือนๆ กัน

   ขณะที่กัปตันขยับตัวโดยการใช้มือล้วงกระเป๋า ผมก็ได้สติทันว่าตัวเองจะต้องเป็นคนเดินจากไป เพราะนี่ไม่ใช่หนัง ผมไม่สามารถเลือกเขาและวิ่งกลับไปหาได้ ที่ผมควรทำคือการเดินต่อไปและเรียนรู้จากอดีตที่แสนเจ็บปวดของเราทั้งสองคนให้มากที่สุด

    ผมอาลัยเขาเป็นครั้งสุดท้ายโดยการยกมือขึ้นมาและโบกให้สองสามครั้ง เขาคลี่ยิ้มบางๆ เป็นการตอบแทน ผมใช้มือข้างเดิมนั้นจับกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่อยู่ข้างตัวพร้อมกับหันหลังกลับและเดินออกไป รอยยิ้มนั้นจะเป็นภาพจำสุดท้ายของเขา

   ถ้าถามผมว่าเขาจะลืมผมมั้ย ผมไม่รู้

   แต่สำหรับผม แม้ประสบการณ์ที่ผ่านมามันเจ็บปวดทั้งกายเจ็บปวดทั้งใจ รวมทั้งโดนหักหลังและเสียค่าโง่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าลึกๆ แล้วผมก็รู้สึกดีและโหยมามันมาตลอดแม้สุดท้ายจะต้องจมอยู่ในกองเพลิงที่แสนเจ็บปวด เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

   ใช่ครับ ผมจะไม่ลืมเขา

   จนกว่าผมจะโตกว่านี้ เราจะพบกันใหม่ และเมื่อเวลานั้นมาถึงเราอาจจะไปด้วยกันได้ ใครจะรู้?

   แค่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

   ผมยิ้มให้กับตัวเองขณะที่ลากกระเป๋าเดินไปตามทาง และเมื่อถึงจุดหนึ่งผมก็หยุดเพราะผมแบกความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาไม่ไหวแล้ว ผมเงยหน้ามองเพดาน น้ำตาไหลออกมาเป็นสายแต่ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยิน

   ขอจบทุกอย่างไว้ที่นี่ ผมได้บทเรียนมาพอแล้ว และเมื่อเคลื่อนบินเทคออฟ ชีวิตจะได้เดินต่อไปสักที

   และผมก็ยืนอยู่ตรงนั้น ในฐานะผู้แพ้อย่างเต็มคราบ


จบตอน



 :mc4: :mc4:  :mc4: :mc4:

อดทนร่างตอนนี้ไว้ตั้งแต่ลงเล้าเป็ดวันแรก ใจหายจังเบย

ตอนหน้าจบแล้วฮะ ถ้าไม่ผิดพลาดแฮะๆ
คนเรามีจากลา ทำได้แค่เดินหน้าเผชิญสิ่งที่อยู่ข้างหน้าอย่างเข้มแข็งนะฮะ

คุยกันได้ที่แฟนเพจ https://www.facebook.com/thene0classic
และ #firemetothemoon ใน Twitter นะครับ

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: Fire Me to the Moon • EP.24 ฬ | 14/07/2017 (หน้า 7)
«ตอบ #189 เมื่อ15-07-2017 01:47:58 »

เพิ่งอ่านทัน สนุกมากๆครับ แม้ว่าตอนหลังๆ จะงงหน่อยๆ เหมือนเนื้อเรื่องมันกระโดดมากไป ทำให้ไม่ต่อเนื่อง เริ่มไม่มีที่มาที่ไป แต่โดยรวมสนุกมากครับ รอติดตามนะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Fire Me to the Moon • EP.24 ฬ | 14/07/2017 (หน้า 7)
« ตอบ #189 เมื่อ: 15-07-2017 01:47:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Fire Me to the Moon • EP.24 ฬ | 14/07/2017 (หน้า 7)
«ตอบ #190 เมื่อ15-07-2017 03:33:20 »

มันทั้งอึดอัดใจแล้วก็โล่งใจไปด้วยพิกล

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Fire Me to the Moon • EP.24 ฬ | 14/07/2017 (หน้า 7)
«ตอบ #191 เมื่อ15-07-2017 07:12:30 »

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: Fire Me to the Moon • EP.24 ฬ | 14/07/2017 (หน้า 7)
«ตอบ #192 เมื่อ15-07-2017 10:08:32 »

มาให้กำลังใจก่อน


ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: Fire Me to the Moon • EP.24 ฬ | 14/07/2017 (หน้า 7)
«ตอบ #193 เมื่อ16-07-2017 02:23:13 »

ปั๊มใจดีมากอ่ะ ถ้าเป็นเรานะ กลับไปรักอาจจะได้แต่ความเชื่อใจคงไม่มีให้แล้ว คือแบบพ่อแม่ปั๊มผิดช่ะ ?  แต่นั่นเค้าก็ตายไปแล้วนี่ แล้วปั๊มผิดไรอ่ะ ปั๊มไม่มีส่วนรู้เห็นไรกับพ่อแม่เลยแต่ต้องมารับกรรมแทน กัปตันปากก็บอกว่ารักปั๊มนะ แต่ทำไมไม่หยุด? ต้องรอให้เรื่องบานปลายถึงจะคิดได้ แอบคิดว่าปั๊มนี่ใจดีอ่ะ ดูปลงและให้อภัยง่ายดี 555 คือถ้าเป็นคนปกติคงโกรธนะ เพราะสิ่งที่เพชรกับกัปตันทำก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย ทีแน่ๆความเชื่อใจคงกลับมายากละ แต่ก็นั่นละ กัปตันเป็นพระเอกนี่นา  :laugh: :laugh: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3
25
Love you to the moon







   5 ปีผ่านไป



   [มึงจะแวะเข้าบ้านก่อนหรือจะมานอนเล่นคอนโดกูดี] เสียงไอ้ไวน์แลบออกมาจากปลายสาย อ๊ะ อย่ามองกันอย่างนั้นสิครับ ผมใช้โทรศัพท์ตอนเครื่องจอดสนิทแล้วน่า แหม คนก็มันเยอะอะ รอให้คนอื่นๆ ออกไปก่อนแล้วกัน ไม่อยากเบียดลุงๆ ป้าๆ เดี๋ยวโดนมองค้อน กลัววววว

   “เข้าบ้านก่อนสิ จะไปหาลุงเอก กูบอกเขาไว้แล้ว” ผมตอบคำถามมันไป

   [แล้วมึงไม่คิดถึงกูรึไง]

   “คิดเซ่ะ แต่ครอบครัวมาก่อนโว๊ยยยย”

   [อ้าว แล้วกูเป็นหมาเหรอ]

   “ถ้ากูเลี้ยงหมากูยังจะนับเป็นครอบครัว แต่สำหรับมึงไม่มีทาง…”

   “ขอโทษนะคะคุณปั๊ม”

   ผมผละออกจากโทรศัพท์เมื่อเห็นแอร์โฮสเตสเดินเข้ามาหา

   “จะให้ดิฉันช่วยถือของหรือเปล่าคะ?”

   “แปบนะ…” ผมบอกไอ้ไวน์ก่อนจะพูดกับพี่ เอ๊ย ต้องน้องสิ ชอบคิดว่าตัวเองยังยี่สิบอยู่เรื่อย “ไม่เป็นไรครับ พอดีผมจะรอให้คนอื่นๆ ลงหมดก่อน… อะ อ้าว?”

   ผมเอ๋อแดกทันทีเมื่อหันไปเห็นว่าไม่มีใครอยู่บนเครื่องอีกแล้ว

   หน้าแตกเลย อิอิ เขินจัง

   “งั้นเดี๋ยวผมลงเลยครับ ขอโทษทีนะครับ”

   “ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงมีอะไรให้ช่วยบอกได้นะคะ” แอร์ฯ สาวทิ้งท้ายก่อนจะเดินไป

   “คร้าบบบบ” ผมพูดไล่หลัง และหยิบโทรศัพท์มาคุยต่อ “มึง แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวโทรไปหาใหม่”

   [เออ ได้ยินทั้งหมดแล้ว! สรุปยังไงบอกกูอีกทีแล้วกัน]

   “ได้ ฝากโทรหาตรองด้วย” ผมพูดถึงอดีตเลขาที่ตอนนี้ได้ข่าวว่าไปทำงานอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์

   [เรียบร้อยแล้ว เครื่องพี่ตรองจะลงค่ำๆ เดี๋ยวกูไปรับเอง]

   “โอเครู้เรื่อง แค่นี้แหละเมื่อยมือ”

   [โถ ไอ้ชาติหมา] เสียงด่านั้นเต็มไปด้วยความหมั่นไส้

   อ๊ากกกก ลุงเอกจะรีบให้ผมกลับมาทำไมเนี่ย อีกไม่กี่เดือนก็รับปริญญาแล้ว แทนที่จะได้เที่ยวยาวๆ ก่อนจะได้กลับทีเดียว แต่ผมเข้าใจเขานะ คนแก่ก็เงี้ยแหละ

   ขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือหยิบกระเป๋า เสียงเพลงไล่ผู้โดยสารก็เปิดคลอไปเรื่อยๆ และดูเหมือนว่ามันกำลังเปลี่ยนแทร็คพอดี

   ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะบอกรักฉัน ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะบอกรักฉันทุกวัน

   มือผมชะงักโดยอัตโนมัติ   อย่างกับว่าเคยได้ยินเพลงนี้จากที่ไหน

   หืมมม เพลงเก๊าเก่า ไปหามาเปิดได้ยังไงวะเนี่ย

   แต่…ไม่สิ ไม่ได้คุ้นเพราะมันเป็นเพลงเก่า แต่มันมีความทรงจำกับผมนี่นา

   ผมหันไปทางประตูห้องกัปตัน เพราะการได้นั่งชั้นเฟิร์สคลาสทำให้เราอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม

   ผมจ้องมันอยู่เกือบนาที แต่ก็ต้องส่ายหัวให้กับความคิดบ้าๆ ที่ผุดขึ้นมา

   ไอ้ห่า! เขาจะมาโผล่ตรงนี้ได้ยังไง!

   ฉิบหาย! แอร์กับสจ๊วสยืนหน้ากระดานรอผมออกจากเครื่องอย่างกับต้อนรับประธานพิธีเลย ทางที่ดี ผมควรจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดนะครับ!




กัปตัน



   “นายมีฝีมือนะ” ผมหันไปชมนักบินผู้ช่วยซึ่งเป็นมือใหม่และไฟล์ทนี้เป็นการร่วมงานกันครั้งแรก ลึกๆ ก็รู้สึกดีเมื่อได้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ก็เก่งๆ เยอะเหมือนกัน

   “ขอบคุณครับ ทำงานร่วมกับอาจารย์โคตรสนุกเลย”

   “คุณไม่ได้เป็นนักเรียนแล้วนะกัปตัน” ผมชื่นชมอีกฝ่าย “ไว้เจอกันครับ” ผมลาเมื่อเห็นคนเด็กกว่าหิ้วกระเป๋าเดินออกไป

   ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะบอกรักฉัน ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะบอกรักฉันทุกวัน

   เสียงเพลงนั้นลอดเข้ามาในห้องขณะที่กัปตันผู้ช่วยเปิดประตู มันทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

   ผมชอบเพลงนี้จัง มันติดโผรายชื่อเพลงที่ผมรักที่สุดในชีวิตเลยนะเนี่ย

   ทำไมอยู่ดีๆ เพลงนี้มาอยู่ในลิสได้วะ บังเอิญไปมั้ย

   ผมจัดการเก็บของสักครู่ และก็ถึงตาผมที่จะออกไปบ้าง และเมื่อเปิดประตูเตรียมจะก้าวขาออกไปจากห้อง ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเรื่อยๆ มาทางนี้

   ปั่ก!

   ร่างเล็กนั้นพุ่งชนผมอย่างแรง แต่ทว่าผมกลับไม่เป็นอะไร กลับเป็นอีกฝ่ายดูจะมึนจนเซไปข้างๆ จนต้องจับเบาะไว้

   “โอ๊ยยยย ฮ่าๆ” ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเขาหัวเราะ เขาหัวเราะกับใคร? ตัวเอง?

   เด็กเพี้ยนเอ๊ย

   “ขอโทษนะครับ พอดีผมลืมขอออออออออออออ!” ปากอีกฝ่ายนั้นอ้าค้างเมื่อเห็นผม แต่ก็ไม่ละความพยายามที่จะพูดให้จบประโยค เขาจึงปิดท้าย “อออออออออง"

   ผมขยับหมวกเพื่อจะมองคู่สนทนาได้ชัดๆ และนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายตกใจเพราะอะไร

   เพราะขนาดผม เมื่อเห็นดวงตาคู่นั้น ตัวยังแข็งทื่อขยับไปไหนไม่ได้แบบนี้

   เมื่อมองใบหน้านั้นผมรู้สึกว่าตัวเองถูกต่อด้วยจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่หายไป มันลงล็อค และหามานาน

   ปั๊มยังเหมือนเดิม ตัวหนาขึ้นแต่ก็ยังตัวเล็กกว่าผมอยู่ดี เขาดูสดใสกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน …แน่ล่ะ มันก็ต้องสดใสกว่าครั้งนั้นอยู่แล้วนี่นะ

   เขาสวมเสื้อโปโลกับกางเกงขาสั้น ชุดคล้ายๆ กับตอนที่ผมบอกเขาว่าทำอย่างกับจะไปเล่นเทนนิสเมื่อนานมาแล้ว ข้าวของพะลุงพะลังแบบนั้นมันช่างทุลักทุเลเหลือเกินเมื่ออยู่ในมือคนที่น่าจะแบกของไม่ได้เกินสิบกิโล มีทั้งกระเป๋ากล้อง คอมพิวเตอร์ และเป้สะพายข้าง

   ผมอยากคุยกับเขาจัง

   แต่ ตอนนี้ผมยอมให้เขาถือของเยอะแยะแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ

   “มา…ให้ผมช่วย” ไม่รู้ทำไมผมถึงยื่นมือออกไปคว้ากระเป๋าสะพายข้างใบนั้นขึ้นมา ฝ่ายเจ้าของดูอิดออดในตอนแรกแต่สุดท้ายก็ยอมโดยดี

   “ขอโทษทีฮะ พอดีรีบเลยไม่ทันได้เก็บไว้ในกระเป๋าเดียว” ปั๊มเกาหัวแก้เก้อ

   “ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้ม “ถือให้ได้อยู่แล้ว”

   “แฮะๆ” ปั๊มยืนประสานมือนิ่งพร้อมกับมองหน้าผมค้างไว้

   “แล้วลืมของอะไรเอ่ย”

   “อ๋อ!” เหมือนกับเจ้าตัวลืมไปสนิท เมื่อตั้งสติได้ก็รีบพุ่งเข้าไปยังที่นั่งตัวเองและเอื้อมมือไปเปิดฝาชั้นด้านบน ผมเกือบหลุดขำเมื่อเห็นอีกฝ่ายเขย่งเท้าควานหาของในนั้น และในที่สุด ก็เป็นกล่องของขวัญสีแดงสดที่ติดมือออกมา

   “วันนี้วันเกิดลุงเอก” คนตัวเล็กอธิบาย “เรามีปาร์ตี้กัน”

   “ขอให้สนุกนะ”

   “มาด้วยกันสิ”

   ผมนิ่งเมื่อได้ยินคำเชื้อเชิญนั้น และไม่ต้องพูดถึงลักยิ้มใกล้แก้มใสที่คุ้นเคย เห็นแล้วอยากจะคว้าตัวเขามากอดเหลือเกิน

   “ไปได้เหรอ?” ผมถาม

   ปั๊มไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า

   แต่ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ …ดวงตาคู่นั้นกำลังคาดหวังคำตอบที่ตรงใจ

   “วันนี้ไม่มีบินแล้ว น่าจะไปได้นะ” ผมตอบในที่สุด

   “ดีเลย” ถึงจะเก็บอารมณ์แต่ผมก็รู้นะว่าเขากำลังเขิน

   “ช่วยถือ” ผมถือวิสาสะดึงกล่องของขวัญลุงเอกมาไว้กับตัวอีกชิ้น

   เราทั้งสองคนเงียบสนิทเมื่อออกเดิน เป็นความรู้สึกที่โคตรจะกระอักกระอ่วน ผมรู้ว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นผมที่เริ่มทุกที

   “เป็นยังไงบ้าง” ผมถามขณะที่เราทั้งสองก้าวขาออกจากประตูเครื่อง ไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ว่าอีกฝ่ายพยายามเดินให้ช้าลงผิดปกติ

   “ก็ดีครับ” ปั๊มทำเก้ๆ กังๆ แต่ก็หันมามองผมบ้างจนได้ “เรียนจบแล้วนะ”

   เหมือนกำลังโชว์เหนือเลยนะเนี่ย

   “ดีใจด้วย อดไปแสดงความยินดีเลย”

   “ยังไม่ได้รับใบจบหรอก” อีกฝ่ายสวนทันควัน “สิ้นปีนู่นแหนะ”

   “อ๋อ” ผมพยักหน้า

   “ยังมีโอกาสแสดงความยินดีนะ” ปั๊มพูดแล้วก็เบือนหน้าหนี

   “ได้เลย ไว้ฉันจะไปหา”

   “คุณล่ะเป็นยังไงบ้าง” ปั๊มถามกลับ

   “ให้พูดความจริงหรือเปล่า” ผมหยุดเดินทันที เอาละ รักษาฟอร์มกันพอแล้ว

   ปั๊มเหมือนตกใจ แต่ก็พยักหน้ายอมรับรู้

   “ฉันคิดถึงเธอ” โคตรกระดากน้ำเสียงตัวเองเลย หึ

   ผมคิดว่าปั๊มจะแสดงออกอะไรมากกว่านี้ เขาเพียงแค่เอียงคอยิ้มก็เท่านั้น

   “เหมือนกันนั่นแหละ” เสียงนั่นสั่นพร่า เหมือนต้องการกลั้นความตื้นตันไว้ให้นานที่สุด

   ผมเป็นผู้ใหญ่ ผมรู้ดีว่าเราทั้งสองกำลังรู้สึกอะไร

   “มีแฟนหรือยัง”

   “ยังเลย” ปั๊มส่ายหัว “คนล่าสุดเขาร้ายไปหน่อย ก็เลยยังไม่รักใครดีกว่า”

   เยี่ยม ทักษะการจิกกัดยังเหมือนเดิม

   แต่นี่คือคลาสสิกปั๊มที่คิดถึง ผมไม่อยากให้เขาเปลี่ยนไปหรือโตมากกว่านี้เลยด้วยซ้ำ

   “เหมือนกันเลย”

   “โอ้โห คนโสดสองคนมาเจอกันเหรอเนี่ย”

   “งั้นเราควรมาคุยกัน” ผมกลั้นใจพูดออกไป

   ซึ่งเป็นความคิดที่บ้ามาก!! โอย… ถ้าโดยปฏิเสธขึ้นมาผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะเนี่ย มึงแก่แล้วนะธีร์ ไม่ใช่วัยรุ่น

   แต่เหมือนฟ้าจะเข้าข้างผม ปั๊มหน้าแดงจัดอย่างกับลูกมะเขือเทศ เขากำลังพยายามกัดกระพุ้งแก้มไม่ให้พองจนระเบิดแตกละเอียดเพราะความเขินอยู่แน่ๆ แต่สุดท้ายเขาก็รีบปั้นหน้ากลับมาขรึมอีกครั้ง

   “อย่าเพิ่งเลย” ปั๊มพูดออกมาในที่สุด “นะ…”

   ตัวผมเกร็งไปบ้าง รวมถึงหน้าก็เริ่มชาขึ้นมาเรื่อยๆ

   “เข้าใจ”

   “แต่ผมมีเรื่องจะถามคุณด้วย”

   “อะไรเหรอ”

   “สมมุติว่าถ้าเรากลับมาเหมือนเดิม ความสัมพันธ์ของเราจะนับต่อจากครั้งก่อนหรือเริ่มใหม่ดี”

   นั่นสิ จริงอย่างที่ปั๊มถาม เราควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไงนะดี หมายถึง กรณีที่อนาคตเราอาจจะได้สานต่อมากกว่านี้

   ผมว่าเราไม่ควรจะนึกถึงอดีตอีกต่อไป แค่ใช้มันเป็นประสบการณ์ให้เรียนรู้ก็พอ

   “ฉันว่าเริ่มใหม่” ผมตอบในที่สุด “เธอว่ายังไงล่ะ”

   “เหมือนกัน” ปั๊มพยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้น รอให้อะไรหลายๆ อย่างมันลงตัวก่อนแล้วกัน”

   “ฉันรู้”

   “โอเค”

   “งั้น…” ผมเอาของขวัญลุงเอกเหน็บไว้ข้างตัว จัดระเบียบกระเป๋าสะพายข้างของปั๊มที่โชว์แมนเอามาใส่ในตอนแรกให้เข้าที่ ก่อนจะหันไปบอกเขา

   “เดินไปด้วยกันเนอะ”

   ตอนแรกปั๊มเพียงแค่มองหน้าผมนิ่ง และเมื่อทิ้งจังหวะไปสักพัก เขาเพียงแค่พยักหน้าซึ่งเป็นอันเข้าใจ

   ทุกอย่างถูกเซ็ตเป็นศูนย์อีกครั้ง

   เราสองคนเดินไปตามทาง ผ่านงวงช้างที่ทอดยาวจากลำเครื่องไปสู่ตัวอาคารผู้โดยการขาเข้า

   ถ้าประโยคที่มีคนเคยพูดว่า ‘ชีวิตคือการเดินทาง’ สามารถเชื่อถือได้

   เท่ากับว่านี่จะเป็นถนนเส้นแรกของการเริ่มต้นใหม่สำหรับเราสองคน


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ theneoclassic

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +217/-3

ปั๊ม



   “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู!” เสียงเพลงอวยพรวันเกิดจบลง พร้อมกับผมที่อุ้มเค้กเข้ามาให้ลุงเอกเป่า ผมตกใจมากเลยเมื่อเห็นพ่อบ้านอีกครั้งซึ่งในเวอร์ชั่นที่แก่มากขึ้น เราอาจจะเรียกเขาว่าลุงไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ผมพยายามไม่คิดมาก แม้มันรู้สึกใจหายหลังจากคิดว่าสิ่งที่กลัวอาจจะมาเร็วกว่าที่คิด

   “ขอบคุณทุกคนมากครับ” ลุงเอกแทบจะโค้งตัวคำนับ

   “ขอแข็งแรงขึ้นทุกปีนะครับ” ตรองเดินมาอวยพร

   “นี่ของขวัญจากผมครับ” ไวน์หิ้วกระเช้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังมาให้ ผมเกือบจะหลุดขำออกมาแล้วเชียว แม่งทำอย่างกับเยี่ยมคนป่วย

   “ขอบคุณทุกคนครับ”

   “อะนี่ของปั๊ม” ผมยื่นซองสีขาวให้

   “คุณปั๊มจะไล่ผมออกเหรอครับ”

   “จริงๆ ก็ประมาณนั้นนะ” ผมแกล้งทำหน้ากวน “แต่ลุงเอกเปิดเถอะ”

   พ่อบ้านทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อฉีกซองนั้นออกมา กระดาษแผ่นบางๆ ด้านในก็ติดมาคนเปิดมาด้วย ลุงเอกเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งนั้น มันคือเช็คที่มีจำนวนเงินเขียนไว้แล้วเสร็จสรรพ

   “ผมวางแผนให้ลุงเอกเกษียรมานานแล้ว ผมว่าป๊ากับแม่ก็คงคิดแบบเดียวกันแน่นอน”

   “แต่ว่า…นี่มันไม่เยอะไปเหรอครับ”

   “เอาไปเหอะ ลุงก็มีครอบครัวไม่ใช่เหรอ”

   “คือว่า…”

   “เก็บไว้เถอะ แล้วสักวันลุงต้องใช้มันเองแหละ”

   “ผมไม่อยากไปจากที่นี่”

   “ผมก็ไม่อยากให้ลุงเอกเป็นอะไรที่นี่เหมือนกัน ผมคงทำใจไม่ได้”

   “…”

   “ลุงเอกยังมีลูกหลาน ผมว่าเขาก็อยากอยู่กับลุงนะ ผมก็อยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าอยู่ตรงนั้นไม่สบายใจก็กลับมาหากันก็ได้ แต่ครอบครัวต้องมาก่อนนะ”

   “…”

   “แต่เอาไว้ลุงเอกพร้อม ก็ค่อยตัดสินใจทำอะไรแล้วกัน ผมแค่หวังดี”

   “…”

   “ปั๊มไม่ได้ไล่ลุงออก แค่อยากให้ไปใช้ชีวิตเฉยๆ จะไปเที่ยวไปทำธุรกิจเล็กๆ อะไรก็ได้นะ”

   “ขอบคุณครับ” ลุงเอกพูดออกมาในที่สุด พร้อมกับเก็บซองนั้นไว้อย่างดีด้านในกระเป๋าเสื้อ

   เราทุกคนมองมองหน้ากัน วินาทีนี้คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ผมไม่สัมผัสมานานแล้ว

   “คุณปั๊ม” ตรองเดินปรี่เข้ามาหา พร้อมกับกอดฟอดใหญ่

   “เป็นยังไงบ้างตรอง”

   “ก็ดีนะฮะ ดีใจที่เจอคุณปั๊มอีก ดูโตมากขึ้นเลยทีเดียว”

   “มันแคระจะตาย โตตรงไหน” ไอ้ไวน์เดินเข้ามาเสือก

   “เออกูก็สูงได้แค่นี้แหละวะ”

   ผมละสายตาจากพวกมันสองคนออกไปนอกบ้าน ชะเง้อมองประตูรั้วด้วยความหวัง

   “มึงมองอะไรวะ” ไอ้ไวน์จับสังเกตได้

   “เปล่า”

   “มีใครกำลังจะมาเหรอ” ตรองเข้ามาร่วมทัพ

   “แค่มองดูเฉยๆ” ผมสะบัดหัว “ไม่มีใครมาหรอก”

   ใช่…เขาคงไม่มาแล้ว ไม่น่าเสียเวลาชวนเลย

   “งั้นกูต้องกลับก่อนแล้วว่ะ มึงอยู่ถึงอาทิตย์หน้าใช่มั้ย”

   “อือ”

   “ดี เดี๋ยวเจอกัน” มันโบกมือลา พร้อมกับหันไปไหว้ลุงเอก ตอนนี้มันดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะ ไม่สแว๊กเหมือนแต่ก่อน แต่งตัวก็ดี การทำงานคงทำให้มันเปลี่ยนไปได้

   “กูรักมึงนะ” อยู่ๆ ผมก็พูดออกไป ไวน์ชะงักมองหน้าผมเหมือนกำลังจับผิด

   “อ่า” มันพยักหน้า “กูต้องบอกรักกลับมั้ยวะ”

   “ไม่ต้องหรอก ขับรถกลับดีๆ”

   “โอเค… พี่ตรอง จะติดรถผมกลับมั้ย” มันหันไปถามคนข้างๆ

   “งั้นก็ได้ ไว้เจอกันนะครับคุณปั๊ม”

   “โอเค กลับกันดีๆ ครับ” ผมยิ้มหวานบอกลาทุกคน

   และบ้านก็กลับมาเงียบอีกครั้ง… ผมกอดอกมองลุงเอกที่ค่อนข้างจะเชื่องช้ากว่าแต่ก่อนอย่างลำบากใจ ทำไมห้าปีมันนานถึงขนาดทำให้คนเราแก่ขึ้นขนาดนี้นะ

   “ไปนอนเถอะลุงเอก ผมจัดการเอง”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

   “นี่เป็นคำสั่งนะ”

   “งั้นก็ได้ครับ”

   ลุงเอกพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยๆ หายไปในมุมของเขา

   ผมทำความสะอาดทุกอย่างบนโต๊ะ จัดการเก็บเค้กไว้ในตู้เย็น รวมถึงยัดจานเข้าไปในเครื่องล้าง เมื่อทุกอย่างเสร็จผมก็คิดกับตัวเองว่าก็ทำได้นี่หว่า ไม่เห็นจะยากอะไรเลย

   “ไง” ผมเกือบสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นชินแทรกความเงียบ กัปตันยืนพิงขอบประตูอยู่ เขาอยู่ในชุดสบายๆ คราวนี้เป็นเสื้อยืดสีขาวที่มีเสื้อเชิ้ตสีฟ้าทับอยู่ข้างนอก เขายังใส่กางเกงยีนส์สีฟอกแบบเดิม รวมถึงแว่นที่นานๆ ทีเขาจะใส่ก็อยู่บนใบหน้า เดาว่าเขาคงอยากจะใส่มันถาวรแล้วด้วยซ้ำ คนแก่นี่นะ

   “มาทำไมเอาป่านนี้ กลับไปกันหมดแล้ว”

   “เผลอหลับ” เขาเกาหัวแก้ตัว “พอแก่แล้วมันง่วงตลอดเลย”

   “อ่า…”

   “แต่ก็ดีจะได้ไม่ต้องเจอคนอื่น เขาคงไม่อยากเจอฉัน”

   “คิดมากน่า” ผมเดินเข้าไปหา “ผมอยากเจอนะ”

   กัปตันยืนตัวตรง พร้อมกับยิ้มมุมปาก ผมยุ่งๆ ที่ไม่ได้เซ็ตแบบนั้นทำให้เขาดูเด็กลงกว่าเดิมเยอะเลย

   “จริงเหรอ”

   “ทำไมจะไม่อยากเจอล่ะ ผมไม่ใช่คนใจร้ายนะ” ผมกอดอก “กินอะไรมาหรือยัง”

   กัปตันส่ายหัว

   “งั้นรอแปบ”

   “ไม่รบกวนดีกว่า”

   “เป็นอะไรกันเนี่ย คุณกลายเป็นคนแก่ขี้เกรงใจตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “ก็เธอดู… โตขึ้น” กัปตันเกาท้ายทอย “ฉันทำตัวไม่ถูก”

   “แล้ว?” ผมหันกลับไปหาเขาอีกครั้งพร้อมกับเอียงคอถาม “ไม่ดีหรือไง”

   “นี่เธออ่อยฉันเหรอ” กัปตันยิ้มเห็นฟันขาว

   “ก็อาจจะใช่นะครับ” ผมกระตุกมุมปากขึ้น “อยากลองดูปฏิกิริยาของคุณว่าจะเป็นยังไง”

   ซึ่งตอนนี้…ในตัวเขาคงพุ่งพล่านหมดแล้ว

   “ไปนั่งสิ ผมจะหาอะไรมาให้กิน”

   กัปตันทำตามคำสั่งผมอย่างว่าง่าย ผมเดินหายไปในครัวพร้อมกับหยิบของทานเล่นที่เหลือจากปาร์ตี้ก่อนหน้านี้มาให้เขา รวมถึงเค้กของลุงเอกที่เฉือนแบ่งมาด้วย

   คนแก่กว่าหันมาเลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัยเมื่อเห็นผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาบนโซฟาตัวเดียวกัน

   “จะนั่งดูฉันกินเหรอ?”

   “ทำไมอะ ดูไม่ได้เหรอ”

   “งั้นมากินด้วยกันสิ”

   “ผมอิ่มแล้ว” พูดจบผมก็เอนตัวกับหมอนแล้วยกขาขึ้นมาพาดไว้บนตักของคนข้างๆ ดูเหมือนกัปตันจะงงๆ เล็กน้อยแต่ก็ใช้ส้อมจิ้มอาหารขึ้นมาลิ้มรสแต่โดยดี

   “อร่อยมั้ย”

   “ถามทำไม ทำเองเหรอ”

   “ทำเองก็เก่งเกินไปแล้ว ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นซะหน่อย”

   “แล้วเธอเก่งเรื่องอะไรบ้าง”

   “ผมเรียนจบได้เกียรตินิยมล่ะ”

   “แล้วเรื่องอื่นล่ะ” กัปตันวางมือบนหน้าแข้งผม ไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ว่ากำลังลูบไล้ไปมา นี่เขาทำอย่างกับเราสองคนคุณครูโรคจิตกับนักเรียนคนโปรดแหนะ

   “คุณกำลังอ่อยผมเหรอกัปตัน”

   “เปล่าซะหน่อย” คนแก่กว่ายิ้มมาให้

   แล้วเราก็มองหน้ากันค้างไว้อย่างนั้น จนเป็นฝ่ายผมเองที่ได้สติก่อนและกลับมานั่งตัวตรงตามปกติ กัปตันเฉไฉทำเป็นตักเค้กขึ้นมาชิมอย่างตั้งใจอย่างกับมันเป็นอาหารระดับห้าดาว

   เชี่ยเอ๊ย กูกำลังจะทำอะไรวะเนี่ย

   “พรุ่งนี้มีบินมั้ย” ผมเป็นฝ่ายเริ่มพูด

   “ไม่มีครับ”

   “อืม…งั้นก็อยู่นานๆ ได้สินะ”

   “ก็คงนั้น”

   “ถ้างั้นไม่ต้องรีบกินหรอก”

   “ฉันไม่ได้รีบอะไรเลย” กัปตันงงแดกหนักกว่าเดิม โอยยยย เป็นอะไรวะเนี่ย

   แค่อยากอยู่ด้วยกันนานๆ อะ

   ผมคิดถึงเขา ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงเลยด้วย

   “ผมเปลี่ยนไปมากมั้ย”

   ผมปล่อยให้อีกฝ่ายสำรวจทั่วตัว “ก็ไม่มากนะ”

   “อือ”

   เคล้ง!

   อยู่ๆ กับตันก็วางส้อมลงอย่างดื้อๆ และหันมาทางผมด้วยท่าทางจริงจัง

   “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

   “เปล่านี่ครับ”

   “แล้วเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง”

   “ไม่น้า”

   “แล้วเป็นอะไร”

   โอย แย่แน่เลย

   “ก็…”

   แย่แล้วๆๆ

   “ผมว่าผมต้องคิดถึงคุณมากไปแล้วแน่ๆ เลย”

   “ฮะ?”

   “ตอนเจอกันบนเครื่อง ผมยังตกใจอยู่ที่อยู่ๆ ที่เห็นคุณ พออยู่กันสองคนแบบนี้แล้วผมรู้สึกอยากใกล้ชิดคุณมากๆ ไม่รู้ทำไม” ผมไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ กัปตันทำหน้าอย่างกับผู้ปกครองที่กำลังหงุดหงิดแหนะ “แต่ผมไม่อยากเสียฟอร์ม ตั้งใจจะไม่ให้ตัวเองเป็นแบบเมื่อก่อน”

   ผมตัดสินใจหันไปมองเขา ผิดคาดแฮะ เขาไม่ได้ทำหน้าดุนี่หว่า หนำซ้ำอย่างกับกลั้นขำแหนะ

   “มีอะไรตลกเหรอ?”

   “เปล่า” กัปตันหันไปตักเค้กต่อ “ฉันรู้ดีว่าเธอเป็นพวกชอบความชัดเจน”

   “คุณไม่เห็นเป็นแบบผมเลย คงไม่ได้คิดเหมือนกันล่ะสิ”

   “ใครบอก” เขาเท้าแขนกับโซฟาขณะที่มองมา “ฉันแค่เก็บอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่า”

   “อะไรๆ ก็ดีกว่าผมทั้งนั้นแหละ”

   “เธอคงไม่รู้ล่ะสิ ว่าฉันกำลังเขินเธอ”

   “อะไรนะ? คุณเนี่ยนะเขิน”

   “เห็นมั้ย นี่แหละคือการเก็บอารมณ์”

   “ไหนลองไม่เก็บซิ”

   กัปตันเอนตัวหนีพร้อมกับเม้นปากตัวเองไปด้วยพร้อมกับยักคิ้วไปมา

   “นี่อะนะเขิน”

   “คนเราก็เขินต่างกัน”

   “เขินของคุณโคตรกวนตีนเลย”

   “ใช้คำหยาบซะแล้ว เหมือนเดิมไม่ผิด”

   “ไม่ชอบเหรอ”

   กัปตันเอื้อมมือมาปัดผมที่ปรกหน้าผากของผมให้พ้นตา “ไม่ชอบแต่ก็ชอบ เพราะมันทำให้ฉันรู้ว่าเธอยังเป็นเธอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็เถอะ”

   อยู่ดีๆ เขาก็เริ่มเปลี่ยนมู้ด ผมเลยเขยิบตัวเข้าไปพิงไหล่เขาพร้อมกับโอบเอวคนแก่กว่าไว้แน่น

   “นี่…”

   “หือ?” เสียงเขาดังอยู่บนหัว ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นเวลาเขาพูดที่บริเวณหน้าอก

   “เสียใจด้วยนะ เรื่องแม่ของคุณ”

   “ใครบอกเธอ”

   “ตรอง”

   ใช่ครับ เรื่องนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากคุยกับเขามากขึ้น

   พอได้รู้เรื่องนี้ก็สงสารเขาจับใจ

   “ขอบใจมาก แม่ไปสบายแล้ว"

   “ห้าปีมันทำให้อะไรผ่านไปเร็วมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมบ่นกับตัวเอง

   “เวลาติดปีก”

   “แล้วอีกห้าปีเราจะยังเจอกันอยู่มั้ย"

   “ถ้าพูดจากตอนนี้ เราอาจจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่ก็ได้” กัปตันว่า “แต่ถ้าเรารักกัน ฉันจะยังอยู่กับเธอ”

   “นั่นสินะ ผมก็อยู่คนเดียว คุณก็อยู่คนเดียวนี่นา” ผมเล่นกระดุมเสื้อของอีกฝ่าย ทำอย่างกับมือมันว่างขนาดนั้นงั้นแหละ
   “นี่ปั๊ม ฟังฉันนะ” เขาจับไหล่ผมให้หันมาตรงกับเขา “ฉันรู้ว่าเราผ่านอะไรกันมา และฉันไม่อยากพูดถึง เพราะฉะนั้นฉันจะไม่รีบ ฉันรอได้ เข้าใจที่พูดใช่มั้ย”

   ผมพยักหน้า “เข้าใจ”

   “แค่เธอพูดมาเมื่อไหร่ว่าตกลง ฉันจะอยู่กับเธอเอง”

   “ถ้าผมตกลงตอนนี้ล่ะ” ผมเอียงคอถาม

   “ไหนบอกจะขอเวลาคิดก่อน”

   ผมนิ่งเงียบ ทำหน้าทำตาเหมือนคนคิดเลขในใจ “อืม…คิดเสร็จแล้ว”

   “ไม่ตลกนะ”

   “จริงๆ ไม่ได้กวนอะไรเลย” ผมยืนยัน “ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนเด็กกว่านี้ การตัดสินใจอะไรเร็วๆ คือไม่รอบคอบ แต่พอโตขึ้นมันทำให้รู้ว่า การตัดสินใจเร็วๆ ก็หมายถึงไม่อยากเสียเวลาได้ด้วย”

   “…”

   “และตอนนี้ผมไม่อยากเสียเวลา”

   “ฉันรู้”

   “คุณก็คงรู้นี่ว่าหลายปีที่ผ่านไปมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่าให้เวลาที่เดินต่อไปจากนี้มันสูญเปล่าเลย”

   กัปตันคลี่ยิ้มพร้อมกับใช้มือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู

   “ใครทำอะไรกับปั๊มคนเดิมของฉันเนี่ย”

   “อย่าแซวน่า” ผมปัดมือนั้นออก พร้อมกับเท้าคางมองคนหล่อข้างๆ “เมื่อกี้ว่าคุณกำลังเก็บอารมณ์ใช่มั้ย”

   “อืม ทำไมอะ” กัปตันตักเค้กเข้าปากอีกชิ้น โอ๊ย เดี๋ยวก็อ้วนตายหรอก

   “ไหนลองไม่เก็บอารมณ์หน่อยสิ ผมอยากรู้ว่าเป็นยังไง”

   กัปตันเลิกคิ้วเหมือนถามความแน่ใจกับสิ่งที่ผมพูด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็วางส้อมลงอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย เขาคว้ามือผมขึ้นมาดมอย่างจริงจัง และหลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ ไล่ขึ้นมาผ่านแขน หัวไหล่ คอ คาง จนตาเราประสานกันพอดี

   สุดท้ายแล้วเขาก็จูบผม เป็นจูบที่เร่าร้อนใช้ได้ อืม…จะเอาไปเทียบกับใครละวะ ก็ทั้งชีวิตเคยจูบแม่งอยู่คนเดียวนี่แหละ แต่เหมือนยิ่งแก่ยิ่งหมดน้ำยา เขาถอนปากออกมาเพื่อหายใจหลายครั้งอย่างกับปลาหางนกยูง เล่นเอาผมเกือบหมดอารมณ์ไปเลย จึงต้องเป็นฝ่ายผมเองที่จับแก้มเขาและรุกจูบเพื่อไม่ให้ขาดช่วง มือหนาใหญ่ของคนตรงหน้า บัดนี้ล้วงเข้ามาเล่นในจุดที่สัปดนซะแล้ว

   “ขอถอนคำพูด” กัปตันถอนปากออกพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ “จริงๆ ก็มีอะไรเปลี่ยนไปนิดหน่อย”

   “ไอ้ทะลึ่งเอ๊ย”

   ผมผลักกัปตันให้นอนราบ จากนั้นก็ขึ้นคร่อมจนรู้สึกเหมือนได้เป็นฝ่ายครอบครองบ้าง กัปตันคงเห็นท่าไม่ดีจึงจับพลิกและกลับมาอยู่ด้านบนแทน เขาชี้หน้าผมประมาณว่ารู้ทัน จากนั้นก็ถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก บัดนี้ผิวหนังที่เคยได้สัมผัสเมื่อนานมาแล้วกำลังโชว์ผมอยู่ตรงหน้า และมันยังไร้ที่ติเหมือนเดิมเปี๊ยบ

   กัปตันจูบผมอีกครั้ง ตอนนี้เราทั้งคู่ไม่ได้เครื่องร้อนแล้ว กำลังอุ่นๆ มากกว่า รู้สึเรื่อยๆ ไม่รีบ ผมชอบนะ

   “เราไปเดทกันเถอะ” กัปตันส่งเสียงแหบๆ อยู่ด้านบน ตัวสั่นเทิ้มอย่างกับว่านี่เป็นครั้งแรก

   ผมแทบจะหัวเราะออกมา “เดี๋ยวนะ เขาต้องเดทก่อนถึงจะมีอะไรกันไม่ใช่เหรอ”

   “อ้าว หมาตัวไหนบอกว่าไม่อยากเสียเวลา”

   “โฮ่ง โฮ่ง” ผมแกล้งเห่า ทำเป็นลืมคำพูดตัวเอง “งั้นพรุ่งนี้แล้วกัน”

   “พรุ่งนี้ฉันว่าง ดีลครับบอส”

   “ตามนั้นครับ คุณลูกจ้าง”

   เราสองคนหัวเราะคิกคัก เซ็กซ์ครั้งนี้กลายเป็นเรื่องตลกขึ้นมาซะได้ เราสองคนกอดก่ายกันไปมา รู้ตัวอีกทีก็เหลือแก่กางเกงในตัวเองเดียวแล้ว กัปตันต้องเป็นคนมือเร็วเสมอสินะ ให้ตายเหอะ

   “ยังเป็นรอยแผลเป็นอยู่เลย” กัปตันใช้นิ้วลูบไปยังรอยด่างๆ ที่เกิดจากเหตุการณ์ในอดีต มันอยู่ตรงซี่โครงและไม่เคยจางไปสักที

   กัปตันก้มลงไปจูบเบาๆ “ขอโทษนะ”

   ผมคว้ามือคนบนตัวออกมา “ไหนว่าจะไม่พูดถึงมันไง”

   “มันชัดมากเลย”

   “ช่างมันเถอะ นี่คุณสนใจแผลเป็นตัวผมมากกว่างั้นเรอะ จะหึงดีมั้ยเนี่ย”

   “ก็ฉันอยากสำรวจทุกซอกทุกมุม”

   หลังจากพูดจบไม่นาน เขาก็พาลิ้นอุ่นๆ ไปไหนต่อไหนจนผมกระตุกเกร็ง ไอ้ที่บอกทุกซอกทุกมุมไม่คิดว่าจะ ‘ทุกซอกทุกมุม’ แบบนี้นี่โว้ยยยย

   “กัปตัน มันโจ่งแจ้งไปมั้ยเนี่ย ในห้องนั่งเล่นแบบนี้อะ”

   “เราไม่ได้ทำอะไรกันสักหน่อย เรากินเค้ก”

   แหมมม ยักคิ้วหลิ่วตา ผมจัดการใช้นิ้วจิ้มที่ครีมบนเค้กและตั้งใจจะป้ายไปบนหน้ากัปตันด้วยความหมั่นไส้ ทว่าเขากลับล็อคแขนผมไว้ได้ แถมยังเพิ่มความร้อนแรงด้วยการนำมันเข้าปากดูดครีมจนหายไปหมด โอเคกัปตัน คุณกำลังทำให้ผมกู่ไม่กลับแล้วนะ

   “อยากเทคออฟหรือแลนดิ้ง”

   ฮะ!?” ผมทำหน้างงใส่กัปตัน

   “เลือกมาเร็วๆ”

   อ๋ออออออออออ เขาคงจะหมายถึงจะขึ้นหรือจะอยู่ด้านล่างปะวะ?

   โอ๊ยยยย จะถามทำไมเนี่ย

   “คุณไม่มีสิทธิ์ขับผมนะครับกัปตัน”

   “งั้นเลือกให้ เทคออฟแล้วกัน”

   “เดี๋ยว!”

   ยังไม่รอให้ผมห้าม กัปตันก็พลิกตัวให้ผมนั่งอยู่บน…กางเกงยีนที่แน่นปั๋งของเขา

   “เชิญเลย” เขายกแขนขึ้นหนุนโชว์วงแขนที่เป็นมัดได้รูป

   โอ๊ยยยยยยย ทำไมต้องมาอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วย!

   “…” ผมใช้มือจับนั่นนี่สะเปะสะปะ แต่ก็จริงจังอย่างตั้งใจ แต่เหมือนมันคงไม่น่ามอง เพราะคนข้างล่างดูตกใจ ผมคงเพี้ยนจนกัปตันคงรู้สึกว่าเองคิดผิด

   “งั้นไม่เอาดีกว่า” เขาพลิกตัวมาทาบทับผมเหมือนเดิม “แบบนี้น่ารักสุดแล้ว”

   “เอ่อ…” ยังไม่ทันพูดจนจบประโยค กัปตันก็จูบผมอีกรอบ คราวนี้เต็มไปด้วยความจริงจัง แต่ก็ค่อยๆ ไปตามจังหวะ ความร้อนที่แผ่นกระจายไปทั่วทำให้รู้ว่าคงจะถึงเวลาของมันแล้วจริงๆ สินะ

   มือกัปตันเตรียมจะถกอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของผมออกมาแล้ว ถ้าไม่มีเสียงอะไรมารบกวนให้เราผละออกจากกันซะก่อน

   “คุณปั๊มครับ” เสียงลุงเอกดังมาจากบันไดด้านบน พ่อบ้านของผมกำลังกระย่องกระแย่งลงมา

   ดีนะ…ผมเอาเสื้อเชิ้ตกัปตันมาคลุมตัวเองทัน

   แต่กัปตันนี่สิ เสื้อยืดตัวเล็กของผมไม่มีทางที่ยัดลงไปบนตัวเขาได้แน่

   อย่างนี้ก็แปลว่าลุงเอกจะได้เจอกัปตันล่ะสิ แถมในสภาพกึ่งเปลือยด้วยเนี่ยนะ!!

   “อ้าว คุณธีร์” ลุงเอกเพียงแค่มองอีกฝ่ายนิ่งๆ เท่านั้น ไม่ได้ตกใจหรือมีอะไรมากกว่านี้

   “สวัสดีครับ”

   “ถอดเสื้อแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอกครับ”

   “แฮะๆ” กัปตันยิ้มแห้งๆ   

   เดี๋ยวนะ ทำไมคุยกันปกติจังเลยวะ

   “วันนี้จะนอนที่นี่หรือเปล่าครับ”

   “อ้าว คุณเคยมานอนที่นี่เหรอ” คำถามนี้ผมตั้งใจให้กัปตันตอบ แต่กลับเป็นพ่อบ้านของผมเองที่ส่งเสียง

   “คุณธีร์เข้ามาหาผมอยู่เสมอเลยครับ” ลุงเอกว่า “บางวันก็มาตอนค่ำแล้ว ผมก็เปิดห้องคุณปั๊มให้นอนอยู่หลายที”

   “เอ๋?” ผมจ้องไปยังคนข้างๆ “จริงเหรอ”

   กัปตันหลบสายตาหนีอย่างกับเด็กมีความผิด

   “จริงที่สุดเลยครับ แถมยังซื้อของกินของใช้ติดไม้ติดมือมาตลอด ไม่ได้คุณธีร์ผมนี่แย่เลย” ลุงเอกยังพูดต่อ ส่วนฝ่ายที่ถูกกล่าวถึงก็ลุกลี้ลุกลนพยายามหนีหน้าอยู่ไม่สุข

   “ขอบคุณนะ” ผมกระซิบเบาๆ คนข้างๆ หันมาเหล่มองพร้อมกับเม้มปากเข้าๆ ออกๆ แบบนี้สินะที่เรียกว่าเขิน

   “ผมจะมาบอกคุณปั๊มว่าผมจัดที่นอนให้เรียบร้อยแล้วนะครับ”

   “ขอบคุณมากครับลุงเอก”

   “แล้วคุณธีร์จะค้างที่นี่มั้ยครับ ผมจะหยิบหมอนมาเพิ่มให้”

   ผมไม่รอให้คนถูกถามตอบ “ได้เลยครับลุงเอก กัปตันจะค้างที่นี่”

   ลุงเอกยิ้มเหมือนกำลังพอใจอะไรสักอย่าง ไม่สิ อาจจะหมายถึงสบายใจด้วย “ถ้าอย่างนั้นจัดห้องเสร็จแล้วผมจะมาเรียกอีกทีนะครับ"

   หลังจากที่ลุงเอกหายลับไปแล้วผมก็กระตุกแขนกัปตันให้หันมา

   “ได้ยินมั้ยเนี่ยว่าขอบคุณ”

   “อื่อ ได้ยินแล้ว”

   “มานอนห้องผมด้วยเนี่ยนะ?”

   “ก็มันคิดถึง” กัปตันยอมมาหาผมจนได้ “มันช่วยให้นอนหลับสนิท”

   “จริงสินะ ตอนแรกๆ ผมก็นอนไม่หลับเหมือนกันเลย”

   กัปตันคลี่ยิ้ม “เพราะฉันคิดถึงเธอ”

   “เหมือนกันเลย”

   เราจูบกันอีกรอบ ในครั้งนี้ไม่มีแรงปรารถนาใดๆ มันคือความรู้สึกดีล้วนๆ ซึ่งนั่นก็แปลว่าเราทั้งคู่เรือคว่ำกลางทางเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

   แต่ก็ดี ผมชอบกัปตันแสดงออกด้านอบอุ่นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

   “เราจะจบกันที่โซฟาแบบนี้น่ะเหรอ” ผมถามเขา

   “ใครบอก มันยังมีต่ออีกยาว” กัปตันดึงเสื้อเชิ้ตไปใส่ รวมถึงส่งเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ตกอยู่ข้างๆ มาให้ผมด้วย “แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง”

   “ผมจะอยู่กับคุณ”

   กัปตันมองหน้าผมอย่างลึกซึ้งก่อนจะโผกอดแนบแน่น

   “ฉันก็จะเป็นของเธอให้เท่าที่จะทดแทนทุกสิ่งที่เคยทำไว้”

   “ถ้างั้นก็ดูแลผมด้วยนะ ทำได้ใช่มั้ย”

   กัปตันยิ้มมุมปาก มองมาเหมือนกับว่าที่พูดนั่นเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากเลย

   “คิดว่าได้นะ”

   ผมนั่งคร่อมบนตัวเขา แสงจันทร์ส่องเข้ามาจากหน้าต่างทำให้ผมมองคนตรงหน้าลึกลงไปได้อีกชั้นหนึ่ง

   เราสองคนจ้องกันอย่างเนิ่นนาน มองอยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่ากำลังเค้นอะไรบางอย่างจากกันและกัน ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่สำหรับผม นี่คือการเค้นความจริงใจครั้งสุดท้าย

   ในเมื่อมีคนเคยบอกว่า ‘ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ’ ก็เท่ากับตอนนี้ผมเห็นเพียงแค่ความว่างเปล่าในนั้น ซึ่งนั่นก็แปลว่าไม่มีอะไรที่ผู้ชายคนนี้จะทำให้ผมเจ็บปวดอีกแล้ว นอกจากความสูญเสียที่อาจจะพรากเราสองคนสักวัน

   แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งผมเจ็บกับผู้ชายคนนี้อีกครั้ง…อืม ไม่รู้สิ ผมก็คงจะทำนิสัยเดิมๆ อย่างการให้อภัยเขาเป็นครั้งที่ล้าน… เหมือนทุกครั้งที่เคยทำ

   ทำไมนะ กับบางคน ความรักแม่งก็เข้าใจยากจังเลย

   ในหนังสักเรื่องเคยบอกว่าความรักคืออาการวิกลจริตที่สังคมยอมรับได้

   ถ้างั้นตอนนี้ผมก็คงเป็นบ้า แต่ยินดีน้อมรับมัน

   แต่เอาเถอะ ในเมื่อวันนี้ผมยังไม่พบสัญญาณความเลวร้ายใดๆ

   ผมจึงสบายใจที่เป็นฝ่ายจูบเขาคนแรก



   เห็นทีความรักครั้งนี้จะเริ่มใหม่จาก 0 ไม่ได้
   งั้นเริ่มที่ 50 เลยแล้วกัน…



   Love you to the Moon… and back
   Fire Me to the Moon then...BURN!



   But it’s okay.


- FIN –



- ตั้งใจจะลงสัปดาห์ต่อมาที่ลงบทที่แล้วเลยแต่คนเดือดเยอะ
และมันจบแบบนี้ ก็เลยว่าให้ไฟมอดก่อนดีกว่า แฮะๆ

ซึ่งอาจจะนานไปหน่อย ใครที่ลืมเนื้อเรื่องแล้วลองกลับไปอ่านสองสามบทสุดท้ายอีกรอบนะครับ

=============================

ใช้เวลาในเล้าเป็ด 9 เดือน 14 วันกับนิยายเรื่องนี้

ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดทางแต่ก็ยังมีปั๊มกับธีร์คอยเคียงข้าง

Fire me อาจจะไม่ใช่นิยายที่สมบูรณ์แบบที่สุด หรือสนุกที่สุด

แต่ผมใช้ความรู้สึกทุกอย่าง แฝงไปกับนิยายเรื่องนี้

หวังว่านี่จะให้อะไรมากกว่าแค่นิยายเรื่องหนึ่งครับ

สุดท้ายนี้ ไม่มีอะไรนอกจากขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ครับ

คุยกันได้ที่ #firemetothemoon และแวะไปทักทายกันได้ที่ https://www.facebook.com/thene0classic นะฮะ

ส่วนเรื่องใหม่ ว่าจะเขียนอะไรเบาสมองและฮะ แต่ถ้าไม่ผิดพลาดน่าจะเป็นจักรวาลเดียวกันนะ

ขอบคุณทุกคนครับ

****ขอบคุณAWสวยๆ จากเพจ 'เขาว่าผมเพ้อ' เราต่างเป็นแฟนคลับกันและกันเมื่อนานมากแล้ว
เจอกัน



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ความรู้สึกแบบมันบรรลุคืออะไรเนี่ย หมดห่วงเหรอ หรือมันคือความสุข?

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


ละมุน

หน่วง

ครบ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
สนุกมากค่ะ รอติดตามเรื่องใหม่นะคะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ มาให้อ่าน นะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จบซะแล้ว ขอบคุณไรท์มากๆเลยนะคะ :L2:

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ สนุกมากๆเลย

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ขอบคุณนะคะ
สนุกมากกกกกกกกก  ชอบกัปตัน แอบหงุดหงิดปั๊มไปหลายตอนเหมือนกัน แต่ชอบตรองกับกัปตันธีร์เหลือเกิน ลุงเอกด้วยค่า

ออฟไลน์ ming88

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากเลยค่า ขอบคุณนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ming88

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากๆเลย ขอบคุณมากค่ะ   :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :katai2-1: ขอบคุณนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ lnwgreankak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุก ชอบ เขียนอีกนะจะรออ่าน

ออฟไลน์ tegomass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบอะ น่ารักดีอ่านวันเดียวจบเลย ตอนนั้นก็สงสัยว่าใครโทรหาธีร์ แล้วธีร์เป็นคนของใคร
คิดไว้แล้วว่าเพชรคือคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
แค่ใครจะไปคิดละว่าอม้แต่พ่อตัวเองก็ยังไม่เว้น

สุดท้ายนี้บอกว่าน่ารักมาก. ซื่อ(บื่อ)ไปไหมคะลูกปั๊ม แต่ชอบ :mew1:

ออฟไลน์ Charmy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาสนุกมากตอนท้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด