วันที่ 14 กันยายน 2560 ที่คลินิกแพทย์แผนไทย ม.5 บ้านปากเนตร ตำบลชะเมา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมธาจารย์บรรยง นันทโรจนาพร นักวิจัยชุมชนอิสระ แถลงข่าวผลงานการวิจัย ชุดที่ 3 โดยมีสื่อมวลชนทุกสาขาเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก เมธาจารย์บรรยง กล่าวว่า ผลงานการศึกษาวิจัยชุดนี้ ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคกรรมโรคเวร เป็นโรคที่ ไม่มียาเคมีที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงต้องกินยาตลอดชีวิต ซึ่งอาการของโรค “ก็มีแต่ทรงกับทรุด” เป็นระยะ ๆ จนเสียชีวิตในที่สุด 

โรคกลุ่มนี้คือ 

1.มะเร็ง (Cancer) 

2.โรคเบาหวาน (Diabetes) 

3.โรคไตวายเรื้อรัง(Nephritis) 

4.โรคปวดหัวไมเกรน(Migraine) 

5.โรคต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ 

6.โรคในระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ (immune system) เช่น ภูมิแพ้(Allergy) แพ้ภูมิ (SLE) , โรคปวดข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid Bone Disease) และ ฯลฯ 

โรคที่ต้องกินยาตลอดชีวิตเหล่านี้ วันนี้มีทางเลือกใหม่โดยการใช้กลุ่มจุลชีพ เข้ามาช่วยในการรักษาโรค ก็สามารถรักษาให้กลับมาใช้ชีวิตปกติได้ สามารถหายขาดจากโรคได้ กลุ่มจุลชีพที่กล่าวถึง คือ กลุ่มโปรไบโอติก (Probiotic), กลุ่มยีสต์(Yeast) , กลุ่มเอนโดไพติกฟังใจ (Endophytic Fungi B19

จากการที่ได้นำกลุ่มจุลชีพทั้ง 3 กลุ่ม มาทดลองกับอาสาสมัครที่เป็นผู้ป่วยจริงในโรคมะเร็งมาระยะเวลาหนึ่ง ผู้ป่วยโรคมะเร็งก็พาญาติพี่น้องที่ป่วยด้วยโรคกรรมโรคเวรมาขอรับยา จึงได้ให้กลุ่มยาจุลชีพไปทดลองกินดู เพื่อปรับสมดุลของร่างกาย พบว่าอาการดีขึ้นเพราะจุลชีพทั้ง 3 กลุ่มนี้เมื่ออยู่ในร่างกาย เขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของกลุ่มเม็ดเลือดขาว ในระบบไมโครไบโอต้า (Microbiota) ช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกายและคอยควบคุมกลุ่มแบคทีเรียและกลุ่มไวรัสก่อโรค ไม่ให้แพร่กระจาย ผลปรากฏว่าเพียงไม่กี่สัปดาห์ อาการของโรคเริ่มดีขึ้น จนหายเป็นปกติได้ เม็ดเลือดขาวหยุดการโจมตีเนื้อเยื่อของร่างกายตนเอง เช่น โรค SLE และ รูมาตอยด์ 

เมื่อได้บทสรุป ตนเองและทีมงานก็เริ่มการวิจัยต่อเนื่อง ค้นคว้าวิจัยจนพบฮอร์โมนไทรอยด์ , ฮอร์โมนแคลซิโทนินและกลุ่มสมุนไพรใหม่ มาเป็นยาสมุนไพรร่วมในการรักษาอาการ

จนถึงวันนี้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคกรรมโรคเวรไปแล้ว รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้ยอมรับงานวิจัยนี้ ยอมให้จดแจ้งขึ้นทะเบียนได้ จึงเป็นยาทางเลือกที่ปลอดภัยต่อผู้ป่วย และเสียเงินเพียงเล็กน้อยในการรักษาจนหาย “ เมธาจารย์บรรยง กล่าว งานวิจัยของผมและทีมงานในวันนี้ มิใช่เป็นเพียงผลงานของผมแต่เพียงผู้เดียวแต่เป็นผลงานของประเทศในอนาคต ที่จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วย และจะเป็นบทเรียนศึกษาสำหรับวงการแพทย์และสถาบันการศึกษาที่ผลิตนักศึกษาสายสาธารณสุขทั้งไทยและต่างประเทศอีกด้วย

ที่มา: http://www.tnews.co.th/contents/358192