เปิดเส้นทางเด็กนานาชาติสู่แพทย์รอบ Portfolio ติดหมอเป็น 10 คนแบบยกแก๊ง! Ruamrudee International School Bangkok

เปิดเส้นทางเด็กนานาชาติสู่ คณะแพทย์ รอบ Portfolio ติดหมอ - Thumbnail

        สวัสดีน้องๆ ว่าที่หมอทุกคนนะครับ !! วันนี้พี่แอดมินพาน้องๆ จาก โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี หรือ Ruamrudee International School Bangkok (RIS) ที่สอบติด แพทย์ รอบ Portfolio ปีล่าสุด มาพูดคุยและเล่าเรื่องราวการเตรียมตัวตั้งแต่การสอบเก็บคะแนน การทำพอร์ตไปจนถึงการสัมภาษณ์ เพื่อให้น้องๆ ว่าที่หมอได้ข้อมูลอย่างถูกต้อง และสามารถเตรียมตัวสอบเข้า แพทย์ รอบ 1 อย่างมั่นใจกันนะครับ

         หลายคนชอบคิดว่าเด็กนานาชาติโอกาสสอบติดหมอน้อยกว่าเด็กภาคไทย ขอบอกเลยว่า ไม่จริงเพราะน้องๆ RIS ที่เรียนกับ ignite สอบติดแพทย์และทันตะรอบ Portfolio กว่า 10 คน ไม่ว่าจะสอบติดแพทย์จุฬาฯ, แพทย์รามา, แพทย์จุฬาภรณ์ (PCCMS UCL), แพทย์อินเตอร์ มธ. (CICM) หรือทันตะอินเตอร์มหิดล (MIDS), ทันตะจุฬาฯ และอื่นๆ แต่วันนี้เราขอนำตัวเด็ด! ตัวจิ๊ด! ทั้งหมด 6 คนมาเป็นตัวแทนของแก๊งหมอ RIS มาเล่าเรื่องราวดีๆ ในบทความนี้นะครับ

รู้จักตัวแทนจากแก๊งหมอ RIS ที่สอบติด แพทย์ รอบ Portfolio แบบยกแก๊ง !

น้องๆ RIS สอบติด คณะแพทย์ รอบ Portfolio - Bigcover2-1
  • แซนดี้ : สวัสดีค่ะ แซนดี้นะคะ สอบติดแพทย์จุฬาภรณ์ (PCCMS UCL) และได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ที่แพทย์อินเตอร์ มธ. (CICM) มาด้วยค่ะน้องๆ
  • แบมแบม : แบมแบมๆ สอบติดแพทย์รามาแต่ติดรอบสัมภาษณ์ของ ทันตะจุฬาฯ ทันตะอินเตอร์ มหิดล (MIDS) และก็แพทย์อินเตอร์ มธ.ค่ะ
  • แมจิก : แมจิกครับ สอบติดแพทย์จุฬาภรณ์ แล้วก็ได้ไปสัมภาษณ์แพทย์อินเตอร์ มธ.กับทันตะอินเตอร์ มหิดลมาด้วยครับ
  • เจนนี่ : เจนนี่สอบติดแพทย์จุฬาฯนะคะ ติดรายชื่อสัมภาษณ์แพทย์รามาและได้ไปสัมภาษณ์แพทย์อินเตอร์ มธ.กับแพทย์รังสิตมาค่ะ
  • แพน : แพนครับ สอบติดแพทย์จุฬาภรณ์ ได้ไปสัมภาษณ์แพทย์อินเตอร์ มธ.กับทันตะอินเตอร์ มหิดล รวมถึงยังได้ไปสัมภาษณ์วิศวะอินเตอร์จุฬาฯ (ISE) มาด้วยครับ
  • ยูมิ : ยูมิสอบติดแพทย์จุฬาภรณ์ค่ะ แต่ก็ได้ไปสัมภาษณ์ทันตะอินเตอร์ มหิดลและก็แพทย์อินเตอร์ มธ.ค่ะ

เล่าให้ฟังหน่อยครับ อะไรทำให้น้องๆ RIS อยากเรียนคณะแพทย์?

  • เจนนี่ : เลือกเรียนแพทย์เพราะคุณแม่เป็นหมอค่ะ เราได้ตามแม่ไปทำงานตั้งแต่เด็กๆแล้ว ชีวิตคลุกคลีอยู่ที่โรงพยาบาลมานานมาก เราเลยได้เห็นภาพของการเป็นหมอมาตั้งแต่เด็กค่ะ เห็นการทำงานของคุณแม่ทุกๆวันเราก็รู้สึกชอบ
  • ยูมิ : เริ่มอยากเรียนแพทย์ตอนที่ย้ายมาเข้าเรียน RIS ค่ะเพราะมีรุ่นพี่มาแนะแนว แล้วเราก็รู้สึกอินกับมัน จริงๆแล้วแม่อยากให้เรียนทันตะ แต่หนูไม่ชอบงาน Art เลยขอเรียนหมอดีกว่าค่ะ
  • แพน : ผมเพิ่งเริ่มรู้ตัวว่าจะเรียนแพทย์เมื่อตอน Grade 11 เองครับ แรกๆอยากเข้า ISE แต่จากการได้ฟังแนะแนวจากรุ่นพี่ เราก็รู้สึกว่าการเป็นหมอคงเหมาะกับเรามากกว่าครับ

วิธีเก็บคะแนน SAT Subject Tests ให้สอบติด แพทย์ รอบ Portfolio

         หลังจากที่ได้พูดคุยกับน้องๆ บอกเลยว่า น้องหมอแก๊ง RIS ของเราทุกคนมีเคล็ดลับในการเก็บคะแนน SAT Subject Tests ที่คล้ายๆกัน ! โดยเริ่มจากการเตรียมตัวในวิชาที่ถนัดที่สุดก่อน นั้นก็คือ Chemistry นั้นเองครับ เพราะถ้าเริ่มจากวิชาที่ถนัดจะสามารถเก็บคะแนนที่ต้องการได้ไวกว่าและจะมีเวลาเหลือไปเตรียมวิชาอื่นๆ เพิ่มเติม..

         สำหรับวิชาที่ยากที่สุดที่น้องๆ ลงมติเป็นเสียงเดียวกันก็คือ Biology เพราะวิชานี้มีเนื้อหาเยอะและเก็งข้อสอบยาก โจทย์ยาวอ่านไม่ทันอาจทำให้รนในห้องสอบด้วย! น้องๆ แก๊ง RIS ฝากบอกว่าตอนเข้าไปสอบทุกคนต้องตั้งสติดีๆ และอย่าลืมฝึกข้อสอบ Past Paper มาเยอะๆ นะครับ

การสอบ SAT Subject Tests 1 ครั้งสอบได้ถึง 3 วิชา..มาดูกันว่าน้องๆแก๊ง RIS มีเทคนิคอย่างไร

เทคนิคเตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์ รอบ Portfolio ของน้องๆ RIS - Bigcover3-1
  • เจนนี่ : หนูเลือกสอบครั้งละ 2 วิชาค่ะ โดยจะเลือก Focus 1 วิชาและเลือกอีกเพียงแค่ 1 วิชาเพื่อให้จำแนวข้อสอบได้ชัวร์ๆ ในครั้งนั้นค่ะ
  • แมจิก : ผมเลือกสอบ 1 ครั้ง 3 วิชาเลยครับ แต่ครั้งนั้นๆ จะตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าแต่ละวิชาแต่ต้องคะแนนเท่าไรบ้าง
  • แซนดี้ : สำหรับหนูจะเลือกสอบวิชาเคมีและไบโอให้ได้คะแนนที่ต้องการก่อนแล้วค่อยตามเก็บ Math LV.2 เป็นวิชาสุดท้ายค่ะ
  • แบมแบม : สอบแต่ละรอบ หนูจะ Focus แค่ 1 วิชาแต่จะไปลองสนามวิชาอื่นๆ ด้วยค่ะ

Timeline การเตรียมตัวสอบเข้า แพทย์ รอบ Portfolio ของน้องหมอแก๊ง RIS

  • เจนนี่ : หนูเริ่มต้น SAT Subject Tests ตอน Grade 11 ค่ะ โดยช่วงนั้นเตรียม SAT อย่างเดียวเลย หลังที่ได้คะแนน SAT ตามต้องการแล้ว ก็ไปสอบ IELTS จากนั้นถึงจะเริ่มเตรียมตัว BMAT ค่ะ เมื่อได้คะแนนครบแล้วจึงจะเริ่มติวสอบสัมภาษณ์ หาคำถาม MMI มาดูคำถามและฝึกตอบค่ะ
  • แบมแบม : หนูเริ่มเตรียมตัว Grade 11 เหมือนกันค่ะ กว่าจะเก็บ SAT Subject Tests หมดทุกตัวก็เกือบ Grade 12 สำหรับหนูจะเริ่มติว BMAT จริงจังตอนซัมเมอร์ที่กำลังจะขึ้น Grade 12 หลังจากนั้นจึงเริ่มเตรียม Portfolio มาเรื่อยๆ แต่หนูทำเล่มพอร์ตกระชั้นชิดมากนะคะ ทำตอนสองอาทิตย์ก่อนยื่นเลยค่ะ
  • แซนดี้ : หนูเริ่มช้ากว่าคนอื่นเยอะเลยค่ะ ตอนเพื่อนไปสอบกันแล้วเราเพิ่งเริ่มติววิชาเคมีเอง กว่าจะได้สอบก็เดือนธันวาของปีนั้น โดยเริ่มเตรียมพอร์ตพร้อมๆ กับตอนเตรียม SAT Subject Tests แล้วมาอัดกิจกรรมหนักๆตอนซัมเมอร์ค่ะ แต่หนูให้ความสำคัญกับ BMAT มากนะคะ อ่าน BMAT เยอะมากๆ อย่าง Section 2 ติววันละ 6 ชั่วโมงไปเลย
  • แมจิก : ผมจะเสียเวลากับ IELTS นิดหน่อยครับ เพราะตอนแรกเราคิดว่าเรียนอินเตอร์มาคงสามารถลุยข้อสอบ IELTS ได้ฉลุยแต่จริงๆ มีส่วนที่ยากอยู่ ก็คือ Part Writing หลังจากสอบครั้งแรก เราก็เลยต้องกลับมาติวส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อให้ได้คะแนนที่สูงขึ้นครับผม

เคล็ดลับการทำ Portfolio ให้ติดชัวร์จากแก๊งน้องหมอ RIS

เคล็ดลับทำ Portfolio คณะแพทย์ จากแก๊งน้องหมอ RIS - Bigcover4-1

มาดูกันว่าน้องหมอแก๊ง RIS วางแผนการทำ Portfolio อย่างไรและมีผลงานอะไรเด็ดๆ มาแชร์บ้าง

  • เจนนี่ : Grade 10 ก็เริ่มเตรียม Portfolio แล้วค่ะ โดยเริ่มจากการไปฝึกงานที่โรงพยาบาล ซึ่งการที่เรามาจากโรงเรียนอินเตอร์สามารถเข้าไปฝึกงานในโรงพยาบาลได้ง่ายกว่าเด็กโรงเรียนไทยนะคะ เนื่องจากเราเรียน IB มาก่อนและโรงเรียนให้ข้อมูลที่ช่วยการ Support อย่างเต็มที่ หนูจึงมีทักษะในการทำงานวิจัย แบบ Full Research ซึ่งทำให้พอร์ตมีความแตกต่างและสามารถเอาไปสู้กับเด็กโรงเรียนไทยที่ไปแข่งงานวิชาการและได้รับเหรียญรางวัลมาเยอะๆ ได้อย่างดีเลยค่ะ
          * ตอนช่วงแรกหนูไปทำจิตอาสา เช่น กวาดถนน ทำอาหารแจก ณ ตอนนั้นรู้สึกว่าเราทำเยอะมากค่ะ แต่จริงๆ แล้วกิจกรรมพวกนั้นมันไม่มีความแตกต่างเลย ใครๆ ก็ทำกัน ถึงทำไปก็เอาใส่พอร์ตไม่ได้ หนูคิดว่าเราควรทำกิจกรรมที่ได้โชว์ความเป็น Teamwork โชว์ความเป็นผู้นำหรือเป็นผลงานที่เกิดจากตัวเรามากกว่าการไปร่วมกิจกรรมกับคนอื่นค่ะ

  • แบมแบม : โชคดีที่โรงเรียนมีชมรมจิตอาสาเยอะ เราจึงได้มีโอกาสทำกิจรรมจิตอาสาที่มีคุณภาพอย่างหลากหลายด้วยค่ะ ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียนจะได้ทั้งผลงานด้านการเป็นผู้นำและ Teamwork หนูคิดว่าโรงเรียนให้การสนับสนุนการสร้างผลงานใส่ Portfolio ได้ดีมากค่ะ
          * จริงๆ หนูไม่ได้ทำกิจกรรมเยอะเลยนะคะ เทียบกับคนอื่นอาจดูน้อยไปด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่หนูให้ความสำคัญคือ Personal statement และการเล่าเรื่องราวผลงานที่ทำไปในพอร์ตให้น่าสนใจค่ะ จริงๆ แล้วอยากฝากน้องๆ ว่าไม่ต้องทำกิจกรรมยิ่งใหญ่หรือเน้นปริมาณมากมาย แต่เราต้องโชว์ให้ได้ว่า Portfolio ของเราน่าสนใจแค่ไหนและแตกต่างจากคนอื่นอย่างไรค่ะ

  • แมจิก : ผมจะเตรียมทำ Portfolio คล้ายๆ เพื่อนเลยครับ ใน Portfolio ของผมใส่เรื่องส่วนตัวเข้าไปด้วย ก็คือเรื่องที่พ่อแม่แยกทางกันเพื่อให้กรรมการเห็นว่าเราสามารถเข้าอกเข้าใจคนในสถานะต่างๆ ได้อย่างดี และเล่าเรื่องความเป็นผู้นำผ่านกีฬาที่ชอบ ซึ่งอยากแนะนำน้องๆ ว่าการทำจิตอาสาเยอะคงไม่ช่วยอะไรมาก แต่สิ่งสำคัญคือพอร์ตที่แตกต่างจากคนอื่น อย่างผมรู้ตัวว่างานวิชาการคงสู้เด็กโรงเรียนไทยไม่ได้ เลยพยายามไปฝึกงานที่โรงพยาบาลและเข้าไปทำ Lab เพื่อให้พอร์ตของเราดูน่าสนใจมากขึ้นครับ

  • แซนดี้ : หนูคิดว่าเราควรทำสิ่งที่ชอบ แล้วทำให้มันออกมาโดดเด่นจะดีกว่า อย่างแซนดี้ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เลยไปเข้าร่วมงานกับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งตลอดช่วงซัมเมอร์เลยค่ะ ได้ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจริงจังเลยค่ะ เช่น ช่วยอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้ม หรือ ช่วยเหลือผู้ป่วยเบาหวานที่อาการกำเริบในบ้านให้ไปถึงโรงพยาบาลอย่างทันท่วงทีค่ะ แต่ขอฝากน้องๆ ไว้ว่าถ้าจะไปทำมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อยากให้หาคนรู้จักหรือเพื่อนไปทำด้วยจะดีกว่าไปทำคนเดียวนะคะ

  • แพน : Portfolio ของผมแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ยื่นเข้าแพทย์รอบ 1 พอสมควรเลยครับ เพราะเรามีผลงานด้านการสร้างหุ่นยนต์และผมยังมีโอกาสได้ไปแข่งขันสร้างหุ่นยนต์ที่ประเทศไต้หวันมาอีกด้วย ทำให้พอร์ตของผมมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งใน Portfolio ของผมมีกิจกรรมเกี่ยวกับงานด้านวิศวะเกือบ 10 กว่าชิ้นแต่มีผลงานด้านจิตอาสาแค่อย่างเดียวเอง ก็สามารถสอบติดคณะแพทย์รอบ 1 ได้เหมือนกันครับ

  • ยูมิ : หนูเริ่มเก็บผลงานใส่ Portfolio ตอน Grade 10-11 เหมือนกันค่ะ โรงเรียนของเราให้ความสำคัญกับทักษะการทำงานวิจัยมากเลย ทำให้ในพอร์ตของหนูมีงานวิจัยที่มีคุณภาพและแตกต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งแทนที่จะไปทำจิตอาสาเยอะๆ หนูจะเน้นการไปฝึกงานในโรงพยาบาลหลายๆ ที่และการทำ Lab หลายๆ ครั้งมากกว่าค่ะ

บรรยากาศการ Interview จากห้องสัมภาษณ์จริงของแพทย์รอบ 1 ปีล่าสุด

  • บรรยากาศการสัมภาษณ์แพทย์จุฬาฯ รอบ Portfolio ปี 63 จาก น้องเจนนี่

             สำหรับการสัมภาษณ์คณะแพทย์จุฬาฯ หลังจากคัดคะแนนเสร็จ เขาจะไม่ดูคะแนนที่เราได้แล้วค่ะ แต่จะให้ความสำคัญกับ Personality มากกว่า อยากให้น้องๆยิ้มสู้เข้าไว้แม้ว่าจะโดนกดดันแค่ไหนก็ตามนะคะ

    วันสัมภาษณ์แบ่งเป็น 3 กลุ่มค่ะ ใครมาถึงก่อนจะได้สัมภาษณ์ก่อน หนูว่ารีบไปแรกๆ ดีกว่า จะได้ไม่ต้องตื่นเต้น โดยห้อง Interview มีทั้งหมด 5 ห้อง ใช้เวลาห้องละ 12 นาที มีเวลา 2 นาทีให้อ่านโจทย์ก่อนและจะมีกระดาษ ดินสอไว้ให้เราโน้ตค่ะ

    ห้องที่ 1 กรรมการถามเกี่ยวกับเหตุการณ์สมมติที่มีหมอขายกาแฟใน Facebook แล้วใช้ความเป็นหมอโปรโมทว่ากาแฟชนิดนี้คนเป็นเบาหวานก็สามารถดื่มได้ และห้องที่ 2 เราจะได้วิเคราะห์งานวิจัยที่ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ แต่ต้องตอบเป็นภาษาไทยนะคะ ต่อไปห้องที่ 3 เป็นการ Role-play ในประเด็นของ Teamwork และก็ห้องที่ 4 เกี่ยวกับการตัดสินใจว่าใครควรโดนประหารชีวิต ซึ่งโจทย์เป็นภาษาไทยและตอบเป็นภาษาไทยนะคะ สุดท้ายห้องที่ 5 กรรมการจะถามภาษาอังกฤษและเราตอบภาษาอังกฤษค่ะ เป็นการแนะนำตัวเอง บอกว่าชอบอะไร ทำไมอยากเรียนแพทย์ทำนองนี้ค่ะ และการสัมภาษณ์วันนั้นมีการทำ Psychological test โดยต้องเขียนเป็นภาษาไทย น้องๆ เรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่เขียนภาษาไทยไม่คล่อง อาจต้องฝึกเพิ่มเติมนะคะ

    สิ่งที่อยากฝากไว้สำหรับน้องๆ โรงเรียนอินเตอร์ วันที่เราไปตรวจร่างกาย วันนั้นมีความสำคัญมากนะคะ เราควรไปดูว่าคนที่สอบติดมาเป็นอย่างไร มีท่าทีแบบไหนกันบ้างเพราะพวกเขาจะเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนของเราแน่นอน ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อนๆ จะมาจากโรงเรียนไทยเกือบหมดเลย การที่เรามาจากสังคมโรงเรียนอินเตอร์อาจต้องดูลาดเลาเพื่อปรับตัวพอสมควรค่ะ

  • บรรยากาศการสัมภาษณ์แพทย์รามา รอบ Portfolio ปี 63 จาก น้องแบมแบม

             สำหรับการสัมภาษณ์คณะแพทย์รามา จะมี Psychological test 77 ข้อ ใช้เวลา 30 นาที ถือว่าน้อยมากคิดอะไรได้ก็ต้องตอบเลยและมีการเขียน Essay 45 นาที จะให้เราตอบว่าเป้าหมายของเราคืออะไรและให้วาดต้นไม้และวาดผู้หญิง แล้วอธิบายสิ่งที่เราวาดค่ะ

    โดยวันสัมภาษณ์มหาวิทยาลัยกำหนดให้ใส่ชุดไปรเวท ติดเลขแทนชื่อ ถ้ามีใครถามก็ห้ามบอกชื่อ ห้ามบอกโรงเรียนนะคะ ซึ่งการสัมภาษณ์ของแพทย์รามาจะมีทั้งหมด 27 ห้อง (รวมห้องพัก) หนูคิดว่าความนานเป็นอุปสรรคเหมือนกันนะคะ เข้าไปอยู่ในนั้นเกือบครึ่งวันเลย ตอนสัมภาษณ์ห้องท้ายๆ ก็เริ่มจะล้าแล้วค่ะและสุดท้ายห้ามเอา Portfolio เข้าไปด้วยนะคะ ต้องจำพอร์ตตัวเองให้แม่นเลย

    ห้องที่ 1 จะให้เราเล่าเรื่องที่ทำให้รู้สึกตกต่ำที่สุดในชีวิต กรรมการก็จะถามกลับมาว่าเราจัดการกับเรื่องนั้นและเอาตัวเองออกจากจุดตกต่ำอย่างไร ซึ่งอาจมีการกดดันเรา เช่น ถามว่าเรื่องแค่นี้ก็รู้สึกตกต่ำสุดในชีวิตแล้วหรอ ? ห้องที่ 2 เขาจะให้รูปเกี่ยวกับบริบทการเป็นผู้ให้และผู้รับ แล้วให้เราอธิบายว่ารู้สึกอย่างไร ถามต่อว่ามีประสบการณ์อย่างไรกับสองบทบาทนี้ ต่อไปห้องที่ 3 เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เรารับบทบาทต้องเป็นผู้นำทริปในการวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเพื่อนร่วมทริปที่ไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนเลยค่ะ กรรมการจะพยายามสร้างเหตุการณ์ให้เราแก้ไขเรื่อยๆ เช่น ถ้าไม่มีคนทำตามแผนจะจัดการอย่างไรหรือถ้ามีคนต่อต้านจะทำอย่างไร และห้องที่ 4 กรรมการจะถามว่าคิดอย่างไรกับคำว่าอยากเป็นหมอเพราะอยากช่วยคน ? และถามว่าถ้าเราเป็นแอดมินเพจเกี่ยวกับสุขภาพที่มีผู้ติดตามเยอะมาก แต่เราลงข่าวสารที่ผิดพลาด และมีคนเห็นข้อมูลนั้นไปเยอะแล้ว เราจะจัดการอย่างไรค่ะ สำหรับห้องที่ 5 เป็นการ Role-play ในเหตุการณ์ที่เราและเพื่อนสนิทไปสอบโอลิมปิค ซึ่งเพื่อนสอบมาสามปีแล้วแต่ยังไม่ผ่านสักที ในขณะที่ครั้งนั้นเราสอบผ่านแล้ว โดยจะมีรุ่นพี่หมอปีสูงๆ มาเล่นบทบาทสมมติกับเราค่ะ

    ห้องที่ 6 ให้เล่าเรื่องความล้มเหลวในชีวิตและก้าวผ่านมันมาได้อย่างไร ห้องที่ 7 กรรมการจะถามว่าการเตรียมตัวสอบเข้าแพทย์มันหนักมาก อะไรคือสิ่งที่ส่งผลดีกับตัวเราเองและจะนำอะไรมาพัฒนาต่อไปหลังจากสอบเข้าได้แล้ว ห้องที่ 8 กรรมการจะนำคำตอบที่เราได้พูดคุยกับเขาในวันรายงานตัวมาถามอีกครั้งค่ะ (วันก่อนสอบสัมภาษณ์) ประมาณที่เราพูดไปหมายถึงอะไรและถามต่อยอดจากคำตอบของเราค่ะ รวมถึงจะมีถามว่าถ้าให้เลือกระหว่างพ่อ-แม่ คุณจะเลือกใคร? ห้องที่ 9 ห้องนี้ถามเกี่ยวกับ Portfolio ถามลึกซึ้งมากๆ นะคะ นอกจากต้องอธิบายผลงานในพอร์ตแล้ว เขาจะถามรายละเอียดยิบย่อยด้วยค่ะ เช่น ภาษาไทยในพอร์ตของเรามีกี่คำ ห้องที่ 10 เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพื่อนสนิทของเราตื่นสายจนมาสอบไม่ทัน ซึ่งทำให้เขาต้องมาเรียนวิชานั้นในช่วงซัมเมอร์ แต่ว่าเพื่อนคนนี้ได้วางแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวไปแล้ว เลยพยายามขอให้เราที่มีพ่อเป็นหมอ ช่วยเขียนใบรับรองแพทย์ปลอมๆ ให้ ซึ่งถ้าไม่ช่วย เขาก็จะไปทำเองอยู่ดี กรรมการถามว่าเราจะจัดการอย่างไร รวมถึงถามด้วยว่าในชีวิตจริงเราเคยให้เพื่อนลอกข้อสอบหรือเปล่าด้วยนะคะ

  • บรรยากาศการสัมภาษณ์แพทย์จุฬาภรณ์ รอบ Portfolio ปี 63 จาก น้องยูมิ (ตัวแทนแพทย์ PCCMS UCL)

              สำหรับการสัมภาษณ์คณะแพทย์จุฬาภรณ์จะมีทั้งหมด 9 ห้อง รวมพัก 2 ห้องค่ะ โดยคำถามก็จะมีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยเลย แต่บางห้องเราสามารถขอกรรมการตอบเป็นภาษาอังกฤษได้นะคะ

    โดยการสัมภาษณ์ที่คณะแพทย์จุฬาภรณ์จะไม่ได้มีห้องเยอะและไม่ได้มีสถานการณ์ที่กดดันเกินไปค่ะ แต่จะเน้นที่การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพื่อมาสร้าง Project รวมถึงให้ความสำคัญกับทักษะการทำงานวิจัยที่เป็นจุดเด่นของมหาวิทยาลัยอีกด้วยค่ะ

    ห้องที่ 1 กรรมการจะถามเกี่ยวกับการแพร่เชื้อโรคในโรงพยาบาล การป้องกันต่างๆ โดยจะเช็คความรู้ในการล้างมือของเราด้วยนะคะว่ารู้ขั้นตอนที่ถูกต้องหรือเปล่า ถือว่าเป็นห้องที่ไม่ได้กดดันอะไรมากค่ะ ห้องที่ 2 มีจิตแพทย์มาเป็นกรรมการค่ะ ถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเรา เช่น ทำไมเราอยากเป็นหมอและจะถามต่อจากคำตอบที่ตอบไปเรื่อยๆ ค่ะ ห้องที่ 3 เป็นห้องที่ได้คุยกับคณบดีของมหาวิทยาลัย ถือว่าเป็นห้องที่มีความกดดันสูงเลยค่ะ กรรมการจะถามสลับภาษาไทย-อังกฤษไปมา ซึ่งเราต้องตอบให้คล่องแคล่วในทันทีและเขาจะพยายามเช็คว่าเราทำ Portfolio เองหรือเปล่า โดยจะถามว่าใช้เวลาทำพอร์ตนานแค่ไหน ผลงานชิ้นไหนในพอร์ตที่น่าสนใจ และก็ถามเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับครอบครัว และเรื่องทั่วๆ ไปเช่น ทำไมอยากเรียนที่นี่หรือคณะแพทย์จุฬาภรณ์เป็น First Choice หรือไม่ ห้องที่ 4 เราจะได้โจทย์เกี่ยวกับการทำจิตอาสาค่ะ เขาจะให้โจทย์มาอ่าน 2 นาที ซึ่งเป็นภาษาไทยนะคะ โดยโจทย์จะเกี่ยวกับการสร้าง Project จิตอาสา เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาชุมชนหลักสี่ค่ะ (สถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัย) ห้องที่ 5 คือห้องที่เกี่ยวกับงานวิจัยค่ะ เขาจะถามว่าเราอยากทำวิจัยเกี่ยวกับอะไร ซึ่งเราก็ควรมีทักษะในการทำงานวิจัยมาก่อนและเลือกตอบอะไรที่สามารถทำออกมาได้จริงๆ ไม่ต้องพยายามพูดถึงงานวิจัยที่ยิ่งใหญ่เพื่อเอาใจกรรมการนะคะ ห้องที่ 6 เป็นเรื่องราวของคนไข้คนหนึ่งที่ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ไม่ยอมเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ซึ่งคนไข้จะไปใช้สมุนไพรแทนค่ะ กรรมการก็จะถามเราว่าควรอย่างไรกับเรื่องนี้ หรือถ้าคนไข้คนนี้เป็นแม่ของคุณเอง จะทำอย่างไรดี? ห้องที่ 7 มี Professor จาก UCL (มหาวิทยาลัยพาร์ทเนอร์) มาถามเกี่ยวกับการจัดการปัญหาวุ่นวายในโรงพยาบาลค่ะ เช่น ถ้าคนไข้โกรธเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล เราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

บรรยากาศ Mock Interview ที่ ignite VS บรรยากาศการสัมภาษณ์จริง

บรรยากาศ Mock Interview กับ ignite ของน้องๆ RIS - Bigcover5-1
  • แซนดี้ : หนูมีโอกาสได้เจอพี่ก๊อฟในห้อง Mock ด้วย ซึ่งพี่เขาช่วยบอกจุดอ่อน จุดแข็งของเราและด้วยความที่หนูเป็นคนไม่นิ่งเท่าไร พี่ก๊อฟเลยช่วยบอกวิธีการแนะนำตัวให้เราดู Professional มากขึ้นค่ะ
  • แมจิก : การมา Mock Interview กับ ignite ช่วยให้ผมรู้ว่าควรรับมือกับคำถามและกรรมการที่กดดันเราอย่างไรให้ดูเป็น Professional ต้องขอขอบคุณ ignite ด้วยครับ
  • แพน : ignite จัด Mock interview ได้ดีมากครับ วันที่สัมภาษณ์จริงผมเลยลดความตื่นเต้นไปได้เยอะมากๆ ซึ่งทำให้เราดูไม่รนและมีสติในการสื่อสารกับกรรมการอย่างดีเลยครับ
  • แบมแบม : Mock Interview ที่ ignite มีห้อง Role-Play ด้วยค่ะ ซึ่งในห้องนั้นมีพี่กั๊กเป็นกรรมการ พี่เขาเล่นสมจริงมาก ทำให้เราไม่ตื่นเต้นตอนได้เจอสถานการณ์จริงและพี่กั๊กยังช่วยแนะนำด้วยว่า ถ้าเจอ Role-Play แบบต่างๆ เราควรแก้ไขเหตุการณ์นั้นๆ อย่างไรค่ะ
  • เจนนี่ : Mock Interview ที่ ignite สมจริงมากค่ะ ทำให้เราลดความตื่นเต้นตอนไปสัมภาษณ์จริงได้มากเลย อีกทั้งเรายังได้คำแนะนำและเทคนิควิธีคิดเป็นขั้นตอนว่าถ้าเจอสถานการณ์ในห้องสัมภาษณ์จริง เราจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นอย่างไรดีค่ะ
  • ยูมิ : ตอนมา Mock Interview ที่ ignite หนูมีโอกาสได้เข้าสัมภาษณ์กับพี่ต้นน้ำ ซึ่งเป็นรุ่นพี่แพทย์จุฬาภรณ์ตัวจริง เลยทำให้บรรยากาศการ Mock เหมือนตอนไปสัมภาษณ์จริงมากๆเลยค่ะ

ความประทับใจต่อ ignite by ondemand จากแก๊งน้องหมอ RIS

ความประทับใจต่อ ignite จากแก๊งน้องหมอ RIS - Bigcover6-1
  • แซนดี้ : ชอบที่ ignite ไม่ได้มีแค่การเรียนการสอน แต่มีกิจกรรมที่มีประโยชน์มาให้เราทำตลอดค่ะ อย่างเช่น Mock Exam จำลองก่อนสอบจริงหรือกิจกรรมที่พี่ๆพาพวกเราไปทำ Community Service ค่ะ
  • แมจิก : ที่นี่ชอบเลี้ยงข้าว เลี้ยงขนม เลี้ยงชานมไข่มุกตลอดเลย ถือว่าเป็นจุดเด่นของ ignite เลยก็ว่าได้ครับ ^^
  • แพน : ผมประทับใจพี่ๆครูของ ignite ทุกคนเลยครับ เพราะพี่ๆเขาดูแลเราตลอดเวลาเลยไม่ใช่แค่ให้คำปรึกษาในห้องเรียน แต่เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอื่นๆเราก็สามารถถามพี่ๆเขาได้ตลอดเลยครับ
  • แบมแบม : ครูที่ ignite นอกจากจะสอนดีแล้ว พี่ๆเขายังเป็นกันเอง ช่วยเหลือเราได้ทุกเรื่องเลย สำหรับหนู พี่ๆครูที่ ignite เหมือนเพื่อนสนิทมากกว่าครูอีกนะคะ
  • เจนนี่ : สิ่งที่ประทับใจ ignite นอกจากการเรียนการสอนและเนื้อหาในคอร์สที่มีคุณภาพแล้ว หนูยังชอบที่ ignite มักจะมีข้อมูล insight การเตรียมตัวสอบเข้าแพทย์รอบ Portfolio ที่หาจากไหนไม่ได้ มาให้เราตลอดและให้เยอะมากด้วยค่ะ
  • ยูมิ : ignite มีกิจกรรมเยอะมากค่ะ ซึ่งกิจกรรมพวกนี้เข้าถึงง่ายด้วยนะคะ ไม่ต้องคอยตามดูว่ามีงานอะไรเลย เพราะมี Group ที่คอยบอกว่าช่วงนี้มีงานอะไรและมีพี่ๆคอยแนะนำว่าเราควรเข้าร่วมกิจกรรมอะไรบ้างค่ะ

         เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับข้อมูลการเตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์ รอบ Portfolio ของน้องหมอแก๊ง RIS เรียกว่าละเอียดมาก !! ตั้งแต่การเลือกสอบ วิชาไหนง่าย วิชาไหนยากหรือจะเป็น Timeline การสอบแต่ละวิชาที่พี่ๆ ชี้แจงแบบไม่มีกั๊ก รวมถึงแผนการทำพอร์ต กิจกรรมอะไรที่ควรใส่ กิจกรรมอะไรไม่ควรทำเยอะ แม้แต่บรรยากาศการสัมภาษณ์จริงที่พี่ๆ ทุกคนเล่าจนเห็นภาพกันเลยทีเดียว บอกเลยว่าน้องๆ ที่ได้อ่านบทความนี้คุ้มๆ จริงเลยครับ

สำหรับน้องๆ ที่อยากสอบติดแพทย์รอบ 1 และได้รับกิจกรรมดีๆ จาก ignite แบบพี่ๆ แก๊ง RIS ไม่ว่าจะเด็กโรงเรียนไทยหรือโรงเรียนอินเตอร์ สามารถปรึกษาสอบถามรายละเอียดการเรียนต่อในคณะแพทย์ รอบ 1 (Portfolio) หรือทุกคณะอินเตอร์ยอดฮิต ได้ทาง Line : @ignitebyondemand หรือโทร 02-6580023 , 091-5761475

ดูรายละเอียดคอร์สเรียน BMAT, SAT, SAT Subject Tests, IELTS ทั้งหมดได้ทาง >> https://www.ignitebyondemand.com/our-courses/

น้องๆ สามารถสมัครคอร์สเรียนออนไลน์ ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ผ่าน ShopOnline ของ ignite …พร้อมแล้วลุยเลย >> https://shop.ignitebyondemand.com/

ดูรายละเอียดคอร์สเรียน ignite A* สำหรับ International Students โดยเฉพาะได้ทาง >> https://www.igniteastar.com/

Shop online

Related Blog & News

ข่าวสารและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง

Comments

Comment Write a comment...