วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ขนมที่ห่อหุ้มด้วยดวงใจของแม่

...



หลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศแพ้สงคราม  มีสภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในฐานะตกต่ำอย่างที่สุด  เกือบทุกครัวเรือนต่างต้องอยู่กันอย่างขัดสน  การมีอาหารพอกินประทังชีวิตไปได้วันๆก็ถือว่าโชคดีแล้ว  หากไม่ใช่วันสำคัญหรือโอกาสพิเศษ  จะไม่มีทางได้เห็นเนื้อหมูหรือเนื้อปลาบนโต๊ะอาหารเด็ดขาด  เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นกับเด็กน้อยอายุ 11 ขวบกับแม่ของเขา  ประสบการณ์ครั้งนั้นในชีวิตมีผลอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้าของเขา

วันนั้นเขาตามแม่ไปจ่ายตลาด  ระหว่างทางกลับบ้าน  ตอนเดินผ่านร้านขายขนมทอด  เสียงทอดขนมในกระทะพร้อมกลิ่นหอมเย้ายวนใจทำให้เด็กน้อยต้องหยุดชะงัก  เขาเคยได้ยินเพื่อนๆในโรงเรียนพูดถึงความอร่อยของขนมทอดแบบนี้  ดูเหมือนเพื่อนๆหลายคนมีโอกาสได้เคยชิมมาแล้ว  แต่เขายังไม่เคยมีโอกาสเลยสักครั้ง  คิดถึงอาหารแต่ละมื้อที่บ้านล้วนมีแต่ผัดผักกับผักดอง  ทำให้เด็กน้อยรู้สึกละเหี่ยใจ

เด็กน้อยหันมาบอกกับแม่ว่า  "ขอกินขนมทอดไส้เนื้อสักชิ้นได้ไหมครับ"  แม่ตอบเขาด้วยเสียงนุ่มนวลว่า  "บ้านเราไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหารแบบนี้  หากดึงดั้นจะให้แม่ซื้อ  คุณพ่อต้องโกรธพวกเราแน่"  แต่เด็กน้อยบอกกับแม่ว่า "เพื่อนๆต่างก็เคยกินกันทั้งนั้น  แต่ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรสเลย  แม่ซื้อให้สักชิ้นเถอะครับ"  เขาอ้อนวอนรบเร้าแม่ไม่ยอมเลิก

พูดถึงขนมทอดชนิดนี้  เป็นขนมที่ทำด้วยแป้งกับถั่ว  มีเนื้อสับห่อเป็นไส้ใน  ทอดให้เหลืองอร่ามกลิ่นหอมกรุ่น  ขนมรูปแบบนี้หาได้ทั่วไปในญี่ปุ่นทุกวันนี้  แต่หลังสงครามโลกที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้มาอย่างย่อยยับ  มันเป็นอาหารประเภทฟุ่มเฟือยก็ว่าได้  ครอบครัวทั่วๆไปไม่อยู่ในฐานะที่จะไปหาซื้อทานกันได้ง่ายๆ

คนเป็นแม่ยืนมองหน้าลูกชายอย่างครุ่นคิด  ก่อนที่จะพูดกับลูกชายว่า  " ลูกอยากกินจริงๆเหรอ"  แล้วแม่ก็เดินเข้าไปในร้าน  สั่งซื้อขนมทอดไส้เนื้อเป็นจำนวนหกชิ้น

สิ่งที่คาดคิดไว้ก็เกิดขึ้นจริงๆ  เย็นนั้นหลังพ่อกลับถึงบ้าน  แล้วเมื่อทุกคนนั่งลงล้อมวงอยู่กับโต๊ะอาหาร  บนโต๊ะนอกจากผัดผักกับผักดองแล้ว  พ่อเห็นมีขนมทอดเพิ่มมาอีกจานหนึ่ง  เสียงพ่อเอะอะเอ็ดตะโรขึ้นมาทันที  "ใครให้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอย่างงี้  ไม่รู้หรือว่าบ้านเราเหลือเงินอยู่มากน้อยแค่ไหน......."  เด็กน้อยเริ่มรู้ว่าเหตุการณ์ต้องรุนแรงกว่าที่คาดไว้เยอะ  เกรงว่าถ้าแม่เปิดเผยความจริงเมื่อไหร่  ตนต้องโดนพ่อลงโทษอย่างแน่นอน

แต่ผิดคาด  เรื่องที่กังวลไม่ได้เกิดขึ้น  แม่ได้แต่นั่งนิ่งฟังเสียงคำรามของพ่ออย่างเงียบๆ  ไม่มีเสียงตอบโต้หรือคำแก้ตัวใดๆจากแม่สักประโยค  หน้าตาแม่ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ  ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาฟังพ่อโวยวายอย่างสงบเสงี่ยมที่สุด

แน่นอนที่สุด  ตอนแม่ตัดสินใจซื้อขนม  ก็คงรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดขี้นแน่นอน  เพราะนี่เป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้ปรึกษาสามีก่อน  การถูกสามีดุด่าต่อว่าเป็นเรื่องที่สามารถคาดเดาได้อยู่แล้ว

แม่คงตัดสินใจที่จะรับผิดชอบด้วยตัวท่านเอง  ไม่โทษคนอื่น  ขณะเดียวกัน  การไม่โต้เถียงสามีก็เป็นการให้เกียรติคนที่เป็นผู้นำของครอบครัว  แต่เพื่อลูกๆ  แม่ก้มหน้ายอมรับผิดชอบกับเรื่องที่ได้กระทำไปแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประทับใจอย่างยิ่ง  คงเป็นฉากต่อไปนี้อันแสดงถึงความรักที่ยอมเสียสละของคนเป็นแม่  และมันสามารถระงับอารมณ์โกรธของพ่อลงได้อย่างชะงักงัน

ในระหว่างที่พ่อกำลังส่งเสียงเอ็ดตะโรอยู่  ก็พอดีเหลือบไปเห็นขนมทอดในจานที่มีจำนวนอยู่แค่หกชิ้น  ในบ้านมีลูกๆอยู่ห้าคน  รวมพ่อแม่แล้วเป็นจำนวนเจ็ดคน  นั่นย่อมแสดงว่า  แม่ไม่ได้ซื้อขนมให้ตนเอง  มีแต่ขนมให้พ่อและลูกๆทุกคน  เสียงดุด่าของพ่อเงียบลงทันที  พ่อค่อยๆใช้ตะเกียบแบ่งชิ้นขนมของตนออกเป็นสองส่วน  แล้วคีบใส่ชามคุณแม่ไปครึ่งชิ้น  แล้วคุณพ่อก็คีบขนมครึ่งชิ้นที่เหลือใส่ปากตัวเอง

นั่นย่อมแสดงว่า  พ่อหายโกรธแล้ว  ในสังคมยุคนั้น  คนเป็นพ่อต้องลงมือเริ่มทานข้าวก่อนเป็นคนแรก  สมาชิกส่วนที่เหลือจึงจะเริ่มลงมือทานได้  พอเห็นพ่อคีบขนมชิ้นนั้นใส่ปาก  ย่อมเป็นที่เข้าใจแล้วว่าเหตุการณ์ร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว  ทุกคนเริ่มทานข้าวมื้อนั้นด้วยความสบายใจ  แน่นอนที่สุด  มันเป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดสำหรับพวกเขาทุกคน

หลังอาหาร  แม่สบตาเด็กน้อย  ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น  บอกกับเด็กน้อยว่า  "อร่อยมากใช่ไหม"  ไม่มีท่าทีที่จะติเตียนเด็กน้อยเลยสักนิด

เด็กน้อยคนนั้นไม่มีวันลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นไปชั่วชีวิตของเขา  แม่ใช้ความรักที่ยิ่งใหญ่  ไร้เสียงบ่น  ไร้เสียงติเตียน  มีแต่ความเสียสละเพื่อทุกคนในครอบครัว  เป็นแบบอย่างที่สำคัญที่สุดอันฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเขาไม่รู้ลืม แล้วยังทำให้เขาตระหนักว่า  คนเราอย่าเอาแต่ใจตัวเอง  จะทำสิ่งใดต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา  และหากตัดสินใจทำสิ่งใดแล้ว  ต้องกล้าพอที่จะรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น  ไม่หลบหนีปัญหา  ไม่ปัดความรับผิดชอบ  ไม่โยนความผิดให้คนอื่น  นั่นเป็นแบบอย่างสำคัญบนเส้นทางการดำเนินชีวิตของเขาหลังจากนั้นเป็นต้นมา

เด็กน้อยคนนั้นคือนายไซจิโร่  คาโดคุระ  ประธานบริษัท ฮาคาฮิโร่ จำกัด  ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของชาวญี่ปุ่น  เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า  ขีวิตของเขาคงก้าวมาไม่ถึงจุดนี้แน่นอน   ถ้าไม่มีแบบอย่างที่ดีของแม่ที่คอยพร่ำสอนเขาผ่านการกระทำของแม่เอง  โดยเฉพาะเหตุการณ์ของขนมทอดชิ้นนั้น  ที่ถูกห่อหุ้มด้วยดวงใจของแม่อย่างที่เขาไม่มีวันลืมเลือน

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

😥😥😥😥ซึ้ง